เตรียมตัวไปวิ่งเทรล กับสุดยอดเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้คุณต้องรอด

กีฬาที่สามารถไปคนเดียวได้โดยไม่ต้องง้อใครเลยก็เห็นจะเป็นการวิ่งนี่แหละ แต่การวิ่งบนถนนปกติอาจจะธรรมดาไป ตอนนี้เราเลยเห็นคนไปวิ่งเทรลกันเยอะขึ้น แล้วการวิ่งเทรลต่างจากวิ่งปกติอย่างไร เรามีเทคนิคที่ดีมาฝากกัน

การวิ่งเทรล (Trail Running) เป็นการวิ่งและการเดินเขาผ่านเส้นทางธรรมชาติ เช่น ลุยเข้าไปในป่า เดินขึ้นเขา ทุ่งหญ้า ผ่านลำธาร น้ำตกซึ่งมีทั้งก้อนหิน ทราย ดินโคลน เส้นทางเหล่านี้ไม่ได้เรียบเหมือนพื้นถนนทั่วไป ดังนั้นการวิ่งเทรลก็ต้องยากขึ้นมาอีกพอสมควร ดังนั้นนักวิ่งเทรลมือใหม่ หรือมือเก่าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมวิ่งที่นักวิ่งหลายคนควรทำเป็นประจำก่อนถึงเวลาลงวิ่งจริง เพราะการซ้อมนี่แหละที่ทำให้การออกไปวิ่งในวันจริงประสบความสำเร็จ ในที่นี้ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องได้รางวัล หรือได้ถ้วยเสมอไป แค่คุณสามารถวิ่งได้จนจบเส้นทางและไม่ได้รับบาดเจ็บนั่นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

เทคนิคการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนวิ่งเทรล และอุปกรณ์ที่จำเป็น

1.การซ้อมและการสำรวจเส้นทางวิ่ง ควรสำรวจเส้นทางที่เรากำลังจะออกไปวิ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราจะเจอกับอะไรบ้าง ส่วนใหญ่การวิ่งเทรลเราจะได้รับกราฟแสดงเส้นทางมาพร้อมกับ BIB ซึ่งจะแสดงความสูงชันของพื้นที่นั้น ๆ ตรงนี้ถ้าเราศึกษาไปดี ๆ ก็จะได้รู้ว่าเราควรวิ่งแบบไหนช่วงไหนควรเซฟพลังงาน และควรจัดการกับตัวเองอย่างไร ถึงจะสามารถวิ่งได้ไปจนจบเส้นทางโดยไม่หมดแรงไปก่อน

2.การเลือกรองเท้าสำหรับวิ่งเทรล การทำความรู้จักกับพื้นที่ที่เราไปวิ่ง ยังช่วยให้เราเลือกรองเท้าวิ่งให้ถูกกับสภาพพื้นที่ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า สนามเทรลนั้นเป็นพื้นที่ธรรมชาติ เราอาจจะเจอเนินหิน ดิน โคลนในระหว่างทาง หรือบางจุดอาจจะมีลำธารไหลผ่าน รองเท้าจึงต้องเป็นรองเท้าสำหรับวิ่งเทรลโดยเฉพาะและส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานที่ต้องพิชิตสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว สังเกตว่าพื้นรองเท้าจะมีปุ่มไว้สำหรับยึดเกาะพื้น และมีความตื้น ลึก แตกต่างกันไป ถ้าลึกมากก็สามารถยึดเกาะพื้นได้มากขึ้น การซัพพอร์ตก็จะดีขึ้นด้วย แม้ว่าน้ำหนักจะมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ช่วยให้เราปลอดภัยหากต้องเดินขึ้นเนินที่ลาดชันสูงนั่นเอง

3.เทรกกิ้งโพล หรือไม้ค้ำที่ใช้ค้ำยันเวลาเดินขึ้น-ลงเขา เพื่อช่วยผ่อนแรงขา เทคนิคคือ กำลังหลักจะอยู่ที่ขาของเรา ไม้ค้ำจะช่วยพยุงในเวลาที่ขาอ่อนแรง ไม่จำเป็นต้องเอาออกมาใช้ตลอดทาง

4.ไฟติดหัว การวิ่งเทรล บางครั้งอาจจะต้องเริ่มสตาร์ทตั้งแต่เช้ามืด แสงไฟจึงสำคัญมาก จำเป็นอย่างมากที่นักวิ่งจะต้องเห็นเส้นทางชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของเราเอง

5.น้ำดื่ม สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือน้ำดื่มที่ต้องนำติดตัวไป เพราะการวิ่งเทรลนั้นจะสูญเสียพลังงานมากกว่าปกติเพราะต้องเจอกับความชันในเส้นทางวิ่ง ทำให้ต้องออกแรงมากกว่าปกติ รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศที่ร้อนจัด การเสียเหงื่อมากอาจจะทำให้ร่างกายขนาดน้ำได้ ดังนั้นห้ามลืมพกน้ำไปด้วยเด็ดขาด

6. เกลือแร่และเจล เกลือแร่ควรแยกใส่ขวดน้ำเล็ก ๆ ไว้หรือใส่ขวดแบบนิ่มก็ได้ ส่วนเจลคือแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย ควรมีติดไว้ 1-2 ถุง หรือพิจารณาตามระยะทางที่เราวิ่ง ถ้ายังเป็นนักวิ่งเทรลระยะสั้นอาจจะไม่ต้องพกอะไรไปมากมาย ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักและกลายเป็นภาระสำหรับนักวิ่งไปเปล่า ๆ

7.อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยปกป้องร่างกาย เช่น หมวก ปลอกแขน แว่นกันแดด ผ้าบัฟ เป็นต้น ควรเลือกหมวกที่มีน้ำหนักเบา ช่วยระบายอากาศได้ดี แว่นตาที่ช่วยป้องกันรังสียูวี ปลอกแขนป้องกนไม่ให้ผิวไหม้ เพราะอย่างที่รู้กันว่า กว่าจะวิ่งจบ อาจจะต้องเจอกับแสงแดดที่ร้อนจัด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิว

หวังว่าเทคนิคการเตรียมตัวทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากจะไปวิ่งเทรลไม่มากก็น้อย ที่สำคัญเตรียมร่างกายและกำลังใจให้พร้อมรับรองว่าคุณต้องทำได้สำเร็จแน่นอน

Motocross การแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากที่มีทั้งความมันส์และสนุก

รู้หรือไม่ว่าMotocross มาจากคำว่า Motorcycle และ Cross Country รวมกัน จึงกลายมาเป็น มอเตอร์ไซค์วิบาก หรือ โมโตครอส (Motocross) ซึ่งเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส แต่ได้รับความนิยมมากที่ประเทศอังกฤษ

โมโตครอส เกิดมาจากการทดลองโดยใช้รถจักรยานยนต์ทำกิจกรรมในรูปแบบลุย ๆ ซึ่งได้รับความนิยมมากในอังกฤษตอนเหนือ ในช่วงปี 1924-1930 หลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นกีฬา โดยมีการเรียกชื่อหลายรูปแบบเช่น MX หรือ MotoX จนมีการจัดการแข่งขันโมโตครอสขึ้นในระดับนานาชาติ ตั้งแต่ปี 1999

การแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก มี 2 แบบ คือ โมโตครอส และ ซุปเปอร์ครอส

1.โมโตครอส มีการทำสนามแข่งขันที่มีความยาวระยะค่อนข้างไกลพอสมควร และเลือกทำสนามบริเวณเนินเขาโดยเฉพาะ และทำการแข่งขันทั้งหมด 15-18 สนาม โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่น คือ

– MXA คือนักแข่งที่ยังไม่เคยได้แชมป์ในรายการโมโตครอสมาก่อน

– MX2 คือนักแข่งที่เคยได้แชมป์ในรายการดมโตครอสมาแล้วแต่ไม่ถึง 2 สมัย

– MXGP หมายถึงนักแข่งที่เคยได้แชมป์ในการแข่งขันโมโตครอสชิงแชมป์โลกมาแล้ว 4 สมัย

2.ซุปเปอร์ครอส มีการทำสนามแข่งขันกันในโรงยิมขนาดใหญ่ ความยาวสนามไม่ไกลมากนักแต่จะแข่งกันหลายรอบ คือ 20-25 รอบสนาม แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ

– 250 SX คือ รถจักยานยนต์วิบากที่มี cc ไม่เกิน 250cc แข่ง 20 รอบ

– 450 SX คือ รถจักรยานยนต์วิบากที่มี cc ไม่เกิน 450cc แข่ง 25 รอบสนาม

ประเภทของมอเตอร์ไซค์วิบากที่ใช้แข่ง Motocross

มอเตอร์ไซค์วิบากจะต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปตรงที่จะสามารถใช้ขี่แบบลุย ๆ เช่น ลุยป่า ขึ้นเขา ลงห้วยได้ และสามารถวิ่งในสภาพถนนที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ ได้สบาย ๆ ลักษณะมอเตอร์ไซค์จะค่อนข้างสูง เพรียว ขับแล้วดูปราดเปรียวว่องไว แต่วันนี้เรามีมอเตอร์ไซค์วิบากมา 3 รุ่นให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกัน

1.Motocross มอเตอร์ไซค์วิบากเน้นใช้แข่งจริง

มอเตอร์ไซค์วิบากที่เราเห็นในสนามแข่งโมโตครอสนั้น จะมีลักษณะเล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ สามารถใช้ขับขี่ในสถานที่โหด ๆ เช่น ไต่เขา ลุยโคลน ลงห้วย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถถึงจุดหมายได้ไว เพราะว่ารถมีความคล่องตัวสูงและมีพละกำลังเพียงพอ

ตัวรถประเภทนี้จะตัดระบบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว บางคันก็อาจจะตัดมาตรวัดความเร็วออกไปด้วย เพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาที่สุด เพราะใช้เน้นแข่งในสนามแข่งมากกว่า ส่วนของยางรถก็จะเป็นตุ่มหนาและใหญ่เพื่อยึดเกาะถนนที่เป็นทางฝุ่นดิน เลน หรือทรายได้ดีกว่า

2. Enduro (เอ็นดูโร)

เป็นรถมอเตอร์ไซค์วิบากที่มีความลุยดิบ ๆ แต่มีความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยการเพิ่งระบบไฟเข้ามา เน้นไว้ใช้ในการแข่งขันในป่าที่มีแสงน้อย หรือสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย แตกต่างจากรถประเภทแรกตรงที่มีระบบไฟเข้ามา เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว เป็นต้น และยังมีระบบมาตรวัดเข้ามา แต่ยังคงสไตล์รถวิบากที่พร้อมลุยได้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบา เรียกว่าวิ่งทางฝุ่นก็ได้ วิ่งทางเรียบก็ใช้งานดี

3.Motard (โมตาร์ด)

รถประเภทโมตาร์ดเป็นรูปแบบที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก เน้นขับทางเรียบ รูปทรงสวยงาม ระบบไฟฟ้ามีครบ นิยมนำมาใช้ขับขี่ในถนนปกติในเมือง หรือทางเรียบมากกว่านำออกไปลุยหรือนำไปแข่ง ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมของเหล่านักบิดที่ชอบท่องเที่ยวออกทริปวันหยุด เรียกว่าเป็นรถสายใช้งานสวย ๆ ก็แล้วกัน

อันที่จริงแล้วยังมีรถอีกหลายรูปแบบที่ผลิตออกมาคล้ายกับแนวมอเตอร์ไซค์วิบากอีกหลายแบบ แต่อาจจะไม่สามารถนำมาแข่งขันในโมโตครอสได้แต่จะเน้นความสวยงามและการใช้ขับขี่ทางเรียบซะมากกว่า

กีฬาขี่ม้า การแข่งขันความเร็วที่ต้องร่วมแรงร่วมใจระหว่างคนและสัตว์สี่ขา

เสน่ห์ของกีฬาขี่ม้าเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างคนและสัตว์ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ศิลปะ อาศัยความเชื่อใจในกันและกันเป็นอย่างมาก ต่างจากกีฬาที่ใช้ความเร็วแบบอื่น เช่น การแข่งรถ ที่คนสามารถควบคุมทิศทางได้ด้วยเครื่องยนต์ แต่กีฬาขี่ม้านั้น คนจะต้องควบคุมม้าให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้

การขี่ม้าถือเป็นกีฬาที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในอดีตทางการทหารจะใช้ม้าเป็นพาหนะในการรบ การแข่งม้าได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งขณะนั้นประเทศออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิก แต่ประเทศเจ้าภาพกลับมีความเข้มงวดมากเกี่ยวกับกฎหมายที่จะนำม้าเข้าประเทศและมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ดังนั้นเพื่อตัดความวุ่นวาย ออสเตรเลียจึงตัดสินใจให้เมืองสต็อกโฮล์มเป็นสถานที่แข่งขันกีฬาแข่งม้า ส่วนกีฬาประเภทอื่นก็จัดแข่งขันที่เมลเบิร์นตามเดิม

รู้ไหมว่ากีฬาขี่ม้ามีกี่ประเภทและมีอะไรบ้าง

การแข่งขันจะมีทั้ง 6 ประเภท ได้แก่

1.ศิลปะการบังคับม้า (Dressage)

2.กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง (Show Jumping)

3.อีเว้นติ้ง (Eventing) ยังแบ่งออกเป็น 4 phase คือ

– Phase A : Roads and Tracks

-Phase B : Steeplechase

-Phase C : Roads and Tracks ครั้งที่ 2

-Phase D : ข้ามภูมิประเทศ

4.รถม้า (Driving)

5.ยิมนาสติกบนหลังม้า (Vaulting)

6.การขี่ม้าวิบาก (Endurance)

กีฬาขี่ม้านั้นไม่จำกัดทั้งอายุและเพศ เน้นความเท่าเทียมกันทั้งชาย-หญิง หากนักกีฬามีร่างกายแข็งแรง สามารถแข่งได้จนถึงอายุมาก ๆ ดังเช่น ในลอนดอนเกมส์ มีนักกีฬาขี่ม้าที่มีอายุมากที่สุดด้วยวัย 71 ปี ชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ม้ายังเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่ได้รับการนำมาแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ และได้รับการให้เกียรติเสมือนเป็นนักกีฬาเลยทีเดียว โดยมีการประกาศชื่อเช่นเดียวกันกับผู้ขี่ม้า และมีการมอบรางวัลให้กับม้าด้วย

อยากเป็นนักกีฬาขี่ม้าต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่อยากขี่ม้า หรืออยากเป็นนักกีฬาขี่ม้า การเตรียมพร้อมนั้นสำคัญมาก ก่อนอื่นคือคุณจะต้องรักม้าก่อน เพราะการขี่ม้าคือการใช้ใจประสานใจ ถ้าเกิดความกลัวก็คงจะขี่ม้าไม่ได้แน่ ๆ

จากนั้นก็คือการเตรียมอุปกรณ์ในการขี่ม้าที่จำเป็น นั้นก็คือเสื้อผ้าที่ควรสวมแบบมิดชิดและทะมัดทะแมงและเครื่องป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการขี่ม้าได้ ซึ่งอุบัติเหตุที่เกิดจากการขี่ม้าที่เกิดได้บ่อย ๆ และอาจจะทำให้บาดเจ็บได้ 3 ลำดับแรกก็คือ ศีรษะ หลัง และไหล่ ระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็คือการฟกช้ำจากการกระแทกเวลาตกลงมา แต่บางครั้งก็อาจจะทำให้ถึงขั้นกระดูกหักได้เลยทีเดียว

ดังนั้นอุปกรณ์ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ หมวกสำหรับขี่ม้า ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อป้องกันแรงกระแทกที่อาจจะเกิดกับศีรษะได้ขณะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด รองลงมาคือรองเท้าขี่ม้า ซึ่งเป็นแบบรองเท้าบูท ถ้าเป็นรองเท้าบูทยาวก็จะสามารถป้องกันอาการบากเจ็บในส่วนกระดูกแข้งได้

เมื่ออุปกรณ์พร้อมและกายใจพร้อม ก็ควรหาที่เรียนขี่ม้าโดยมีผู้ฝึกสอนที่มีประสบการณ์คอยสอนอย่างใกล้ชิด ผู้เรียนเองก็ควรอดทนและมีวินัยฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ แล้วคุณก็จะเป็นนักขี่ม้าที่ดีและเก่งขึ้นได้ในที่สุด

Top 5 สนามแข่งขันกีฬาที่ดังที่สุดในโลก

เราขอเอาใจคนรักกีฬา ด้วยการหาสนามกีฬาที่ติดอันดับ Top 5 ที่ดังที่สุดในโลก จากประเทศต่าง ๆ มาดูกันว่า คุณจะรู้จักกับสนามกีฬาเหล่านี้ดีหรือเปล่า

อันดับที่ 1 สนาม Circuit de Monaco ประเทศ โมนาโก

สนามแข่งรถรายการ Formula 1 ที่โด่งดังที่สุดในโลกและยังได้รับการโหวตว่าเป็นสนามแข่งรถที่สวยงามมากที่สุดอีกด้วย แท้จริงแล้วเกิดจากการกั้นถนนในเมืองมอนติคาร์โล และ ลากอนดาไม ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของโมนาโก หรือเรียกว่าเป็น Street Circuit อาจจะเรียกสั้น ๆ ว่า สนามมอนติคาร์โล สนามนี้มีความยาว 3.34 กิโลเมตร ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นสวยงาม เพราะสามารถมองเห็นท่าเรือที่มีเรือยอร์ชจอดเทียบท่าอย่างสวยงาม ตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แถมลักษณะทางภูมิประเทศยังอยู่บริเวณตีนเขาแอลป์ที่สวยงามที่สุดโลกอีกด้วย สนามนี้จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของนักแข่งรถรวมถึงผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมายที่อยากจะมาเยือน และสถิติที่ดีที่สุดในการเหยียบคันเร่งบนสนามนี้คือ 1 นาที 14.439 วินาที เจ้าของสถิติไม่ใช่ใครที่ไหน มิชาเอล ชูมัคเกอร์ นั่นเอง สถานที่เสียงเครื่องยนต์แข่งกันคำรามตลอดปีนี้ได้รับการซูฮกว่าเป็นสนามแข่งที่ขับยากและอันตรายมากที่สุดในโลก

อันดับที่ 2 สนาม Soccer City Stadium, Johannesburg ประเทศแอฟริกาใต้

สนามฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2010  มีการออกแบบร่วมกันระหว่างบริษัท Boogertman & Partners และ บริษัท Populous จนได้รับรางวัลการออกแบบโครงสร้างยอดเยี่ยมจาก Leading European Architects Forum หรือ LEAF Awards 2010 สนามนี้สามารถจุผู้ชมได้ถึง 94,700 คน ความโด่งดังเริ่มจากการเปิดใช้สนามในนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 นั่นเอง

อันดับที่ 3 Wembley Stadium, กรุง London ประเทศอังกฤษ

สนามฟุตบอลที่คลาสสิกที่สุดสนามหนึ่ง ด้วยหอคอยคู่อันโด่งดังและการที่มันเป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษ บนผืนแผ่นดินอังกฤษ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “Home of Football” สนามแห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นสนามฟุตบอลที่คุณต้องไปเยือนสักครั้งให้ได้ชีวิต แต่ชาตินี้คงหมดโอกาสแล้วเนื่องจากสนามเวมบลีย์ถูกทุบทิ้งและสร้างสนามใหม่ทับลงไปบนสนามเดิม ในชื่อว่า New Wembley แต่สนามนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของคอฟุตบอลทั่วโลกตลอดกาล

อันดับที่ 4 Yankee Stadium, New York ประเทศสหรัฐอเมริกา

สนามของทีมเบสบอลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ อยู่ใน Concourse, บรองซ์ แห่งมหานครนิวยอร์ค เป็นสนามหลักเจ้าบ้านของทีมนิวยอร์ค แยงกีส์ซึ่งเป็นทีมในเมอเจอร์ลีก สร้างด้วยงบประมาณมหาศาลที่มีมูลค่าถึง 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1923 และเมื่อปลายปี 2009 เพิ่งมีการปรับปรุงภายในตัวสนามเสียใหม่แต่ยังคงรูปแบบเปลือกอาคารไว้คงเดิมเพื่อความคลาสสิก ทำให้สนามแห่งนี้ทั้งทันสมัยและเข้มขลังด้วยมนต์สะกดแห่งกีฬาที่ชาวอเมริกันคลั่งไคล้

อันดับที่ 5 สนาม Beijing National Stadium, Beijing ประเทศจีน

สนามกีฬาที่มีการออกแบบให้คล้ายกับรังนก ผลงานการออกแบบของสถาปนิกชื่อก้องโลกอย่าง Herzog & De Meuron ร่วมกับสถาบันออกแบบสถาปัตยกรรมจีน โดยมีอ้าย เหว่ย เหว่ย ศิลปินร่วมสมัยชาวจีนเป็นคนให้คำปรึกษาในการออกแบบ ได้เป็นอาคารสนามกีฬาสำหรับการแข่งขันโอลิมปิกปี 2008 ที่ประเทศจีน และกลายมาเป็นสนามกีฬาที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในทันที ด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สวยงามโดดเด่นสะดุดตา

เป็นอย่างไรกันบ้างกับที่สุด Top 5 ของสนามกีฬาที่แต่ละประเทศได้ทุ่มเทสร้างขึ้นมาจนโด่งดังเป็นเอกลักษณ์ไปทั่วโลก ยิ่งแสดงให้เห็นว่าแต่ละประเทศในโลกนี้ล้วนให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของการแข่งขันกีฬาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

นักแข่ง Formula 1 หญิงคนแรก “มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลิปปิส” หญิงแกร่งแห่งวงการประลองความเร็ว

เรามักจะเห็นนักแข่งรถส่วนใหญ่ต่างก็เป็นผู้ชาย เรียกว่า ผู้ชายกับรถนั้นเป็นของคู่กันเสมอ แน่นอนว่าในวงการนี้ผู้ชายมีความได้เปรียบในเรื่องของสภาพร่างกายและสมรรถภาพที่แข็งแรงกว่าผู้หญิง จึงไม่แปลกใจที่ผู้ชายจะได้ครอบครองดินแดนแห่งความเร็ว

แต่การแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือ ฟอร์มูลาวัน กลับเคยมีหญิงสาวเข้าร่วมการแข่งขันเป็นคนแรก เธอมีชื่อว่า “มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลลิปปิส” หญิงสาวที่รักในความเร็วและกล้าบุกเบิกเข้าไปสู่ดินแดนของชายหนุ่มผู้รักความเร็วที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่เร็วและแรงที่สุดในโลก

มาเรีย ได้ถูกจารึกชื่อว่าเป็นนักแข่งหญิงคนแรกของรายการฟอร์มูลาวัน ในปี 1958 ณ ขณะนั้นเธอมีอายุ 32 ปี  โดยใช้รถมาเซราติ 250F ซึ่งเป็นตำนานของรถฟอร์มูลาวันของมาเซราติเลยทีเดียว แต่กว่าจะมาถึงเส้นทางฟอร์มูลาวันได้ มาเรียก็ต้องผ่านทั้งอุปสรรคและบททดสอบมากมาย โดยเฉพาะการก้าวข้ามขีดจำกัดในเรื่องของความเป็นผู้หญิงนั่นเอง

เส้นทางชีวิตก่อนจะมาเป็นนักแข่งหญิงคนแรกแห่ง F1

มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลลิปปิส เกิดที่เมืองเมเปิลส์ ประเทศอิตาลี เธอมีความหลงใหลในกีฬาความเร็วตั้งแต่ยังเด็ก เรียกว่าอาจจะอยู่สายเลือดเลยก็ว่าได้เพราะคุณพ่อของมาเรียทำงานเป็นวิศวกรรถยนต์ ทำให้ชีวิตวัยเด็กของมาเรียนั้นคุ้นเคยกับกลิ่นของน้ำมันเครื่อง พอ ๆ กับ ที่ได้กลิ่นของน้ำหอม

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงได้ในปี 1948 มาเรียมีอายุได้ 22 ปี และมีโอกาสได้ลงแข่งรถสนามแรก ที่สนาม ซาแลร์โม กาวาเด ตีร์เรนี ในตอนใต้ของอิตาลี ท่ามกลางคำสบประมาทของเหล่าเพศชาย แม้แต่พี่ชายของมาเรียเองถึงขั้นพนันว่าเธอไม่มีทางขับรถแข่งได้แน่นอน แต่ในที่สุดมาเรียก็พิสูจน์ตัวเองได้ด้วยการคว้าชัยชนะในสนามแห่งนั้น ด้วยรถเฟียต 500 และทั้งหมดก็ได้หลายเป็นจุดเริ่มต้นความฝันสู่สนามฟอร์มูลาวันของเธอ

มาเรียได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การแข่งขันรถเรื่อยมา ท่ามกลางสภาวะกดดันต่าง ๆ จากนักแข่งที่เป็นเพศชายทั้งหลาย เธอเคยรู้สึกโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค ครั้งหนึ่งมาเรียได้ประสบอุบัติเหตุจากการแข่งขันจนทำให้หูซ้ายของเธอสูญเสียการได้ยิน แต่เธอกลับไม่เกรงกลัวและยังพัฒนาฝีมือขึ้นมาเรื่อย ๆ

ความฝันของนักแข่งหญิงแกร่งคนนี้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อผลงานการขับของมาเรียไปเข้าตาทีมมาเซราติอย่างจัง หลังจากที่มาเรียแข่งในรายการ อิตาเลีย สปอร์ต คาร์ แชมเปี้ยนชิพ ที่มาเรียใช้รถยูเรเนีย-บีเอ็มดับเบิ้ลยู ขับจนเข้าเป็นอันดับที่สองสำเร็จ

ปี 1955 มาเรียได้เข้าร่วมทีม มาเซราติ อย่างเป็นทางการ รถที่เธอขับก็คือ Maserati A6 จนกระทั่งในวันที่ 18 พฤษภาคม 1958 เธอก็ได้สร้างตำนานผู้หญิงคนแรกที่แข่งขันรายการฟอร์มูลาวัน โดยใช้รถ Maserati 250F ลงแข่งในรายการ โมนาโก กรังด์ ปรีซ์โดยเข้ารอบควอลิฟายเป็นอันดับที่ 16

มาเรียได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยการเข้ารอบควอลิฟายเป็นอันดับที่ 10 ในรายการ เบลเจี้ยน กรังด์ ปรีซ์ ประเทศเบลเยียม นับเป็นอันดับที่ดีที่สุดในอาชีพนักแข่งฟอร์มูลาวัน

สุดท้ายแล้วปี 2016 มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลลิปปิส หญิงแกร่งนักแข่งรถได้ลาจากโลกนี้ไปแล้วด้วยวัย 89 ปี แต่เธอก็จะยังถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์โลก และวงการแข่งขันรถยนต์ฟอร์มูลาวันไว้ตลอดไปว่าความสามารถของเธอนั้นไม่น้อยไปกว่าใคร

5 กีฬาสุดแปลกที่คุณอาจไม่เคยรู้ แต่มีอยู่จริง

ถ้าพูดถึงกีฬาปกติทั่วไปใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก อย่างเช่น ฟุตบอล บาสเก็ตบอล หรือว่ายน้ำ แต่ถ้ากีฬาแปลก ๆ แหวกแนวล่ะ เราคงคิดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีกีฬาประเภทนี้ด้วย บางครั้งคุณอาจจะแปลกใจว่ามนุษย์เราก็ช่างสรรหากิจกรรมใหม่มาสร้างสีสันให้ชีวิตอยู่เสมอ มาดูกีฬาแปลกทั่วทุกมุมโลกกันดีกว่าว่าจะมีอะไรบ้าง รับรองทั้งน่าตื่นเต้น ทั้งฮาและ หวาดเสียวครบรสแน่นอน

1.Gaelic Football

แกลิค ฟุตบอลเป็นชื่อกีฬาที่เราฟังดูก็คงจะคล้ายกับการเล่นฟุตบอลทั่วไปแบบบ้านเราแน่ ๆ แต่แกลิคคือการผสมผสานกีฬา 4 ประเภทเข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ฟุตบอล รักบี้ แฮนด์บอลและบาสเก็ตบอล เข้าด้วยกัน

แกลิคฟุตบอลมีต้นกำเนิดมาจากประเทศไอร์แลนด์ ตั้งแต่ปี 1908 ก่อนที่จะถูกปรับเปลี่ยนมาเป็นกีฬามาตรฐานเพื่อให้มีกฎ กติกาในการเล่นอย่างจริงจัง จนเริ่มเป็นกีฬายอดนิยมของไอร์แลนด์เลยก็ว่าได้

คุณสามารถใช้ร่างกายได้ทุกส่วนในแกลิคฟุตบอล โดยผู้เล่นจะต้องชิงฟุตบอลเพื่อนำบอลไปทำแต้ม เช่น สามารถเลี้ยงบอลแบบบาสเก็ตบอล การคว้าลูกบอลแล้ววิ่งหนีคู่ต่อสู้แบบรักบี้ก็ได้ นั่นคือการยิงให้ข้ามคานบน ก็จะได้ 1 คะแนน อีกวิธีคือการยิงเข้าประตูเหมือนฟุตบอลปกติ ซึ่งจะได้ 3 แต้ม

2.Train Surfing

Train Surfing แปลง่าย ๆ ว่า เป็นการโหนรถไฟในขณะที่รถกำลังวิ่งอยู่นั่นเอง ฟังแล้วเป็นกีฬาที่ค่อนข้างอันตรายมากแต่คนก็ช่างคิดขึ้นมาเล่นจนได้ อันที่จริงนี่ถือเป็นกีฬาที่ผิดกฎหมาย เพราะการเล่นแบบนี้คือผู้เล่นจะต้องปีนออกมาจากตู้โดยสารรถไฟและปีนไปให้ทั่วในขณะที่รถไฟกำลังแล่นอยู่

ประเทศที่นิยมเล่นกีฬาแปลกและผาดโผนเสี่ยงต่อชีวิตแบบนี้ คือ ประเทศรัสเซีย, อินเดีย และอีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกา แน่นอนว่าเสี่ยงอันตรายขนาดนี้ก็เคยมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมานับไม่ถ้วนแล้วเช่นกัน

3.Giant Pumpkin Kayaking พายเรือฟักทองยักษ์

กีฬาพายเรือฟักทองยักษ์ เกิดขึ้นมาจากกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกฟักทองนำผลผลิตที่ไม่สามารถขายได้ เอามาเปลี่ยนเป็นความหรรษาแทนด้วยการนำเจ้าฟักทองยักษ์เปลี่ยนมาเป็นเรือคายัคพายข้ามแม่น้ำแข่งกัน

กีฬาชนิดนี้จึงถูกบันทึกเป็นครั้งแรกในปี 1999 ในกลุ่มของผู้ปลูกฟักทองด้วยกันเอง แต่สุดท้ายก็ได้กลายมาเป็นกีฬาที่มีการแข่งขันจริงจัง โดยมีตัวแทนจากทั่วโลกเข้าแข่งขันกว่า 60 ประเทศ รวมกว่า 10,000 คน สถิตินี้จึงถูกบันทึกไว้ในการแข่งขันที่วินเซอร์ ประเทศแคนาดาในปี 2008

4.Ferret-Legging

อันนี้ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าแปลกแบบน่ารัก หรือหวาดเสียวมากกว่ากัน เพราะว่าใช้เจ้าเฟอร์เร็ต (Ferret) สัตว์ตัวเล็ก เลี้ยงลูกด้วยนม มีรูปร่างคล้ายหนูผสมพังพอนมาเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขัน

วิธีเล่นก็แสนจะทะเล้นเพราะต้องปล่อยให้เจ้าเฟอร์เร็ตที่น่าสงสารใส่ไว้ในกางเกงในซึ่งนักกีฬาก็ต้องเป็นผู้ชาย เท่านั้น และต้องทนต่อความเจ็บปวดต่อกรงเล็บของสัตว์ตัวน้อยนี้ที่อาจจะข่วนหรือแทะอวัยวะของพวกเขา กีฬานี้จึงจัดมาเพื่อทดสอบความอดทนของท่านชายทั้งหลาย

5.Vocalno Surfing สกีภูเขาไฟ

การเล่นสกีบนหิมะคงจะไม่ตื่นเต้นเร้าใจ คนเลยหันไปเล่นสกีภูเขาไฟแทนซะเลย ทั้งที่รู้ว่าต้องเสี่ยงอันตรายแต่ก็ไม่แคร์ เพราะนักกีฬาที่ชอบเล่นสกีภูเขาไฟต่างก็นิยมไปเล่นในประเทศนิการากัว และที่วานูอาตู ประเทศที่มีภูเขาไฟที่ยังปะทุหลายแห่ง ซึ่งความอันตรายคือนักกีฬาอาจจะได้รับก๊าซพิษเข้าไปทางลมหายใจได้เสมอ อีกทั้ง ลาวา ที่คงไม่ต้องบอกว่าน่ากลัวมากแค่ไหน

แต่กีฬาชนิดนี้ใช่ว่าเพิ่งจะได้รับความนิยม ที่จริงแล้วมีมาตั้งแต่ปี 1970 และยังมีคนนิยมเล่นเพื่อท้าทายอันตรายต่อมาจนถึงทุกวันนี้ แม้จะมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากกีฬาชนิดนี้มากมายก็ตาม

ต้องยอมรับว่ามนุษย์นั้นมีความคิดสร้างสรรค์หลากหลายมากเลยทีเดียว ไม่ว่ากีฬาสุดแปลกเหล่านี้จะเริ่มต้นมาจากการทำเพื่อความบันเทิงหรืออะไรก็ตาม กีฬาก็สามารถได้ทั้งประโยชน์และโทษได้เสมอ เพราะฉะนั้นหากคิดจะเลียนแบบก็ควรไตร่ตรองก่อนจะดีที่สุด

Zhuhai International Circuit ศูนย์กลางมอเตอร์สปอร์ตแห่งแรกของจีน

Zhuhai International Circuit เป็นสนามแข่งรถถาวรแห่งแรกของประเทศจีน และยังเป็นศูนย์กลางที่ใช้จัดการแข่งขันกีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ตในระดับท้องถิ่น ตลอดจนการแข่งขันระดับนานาชาติ

ใครเลยจะคิดว่าต้นกำเนิดของสนามแข่งรถที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ เกิดขึ้นมาจากการแข่งรถบนถนนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตัวเมืองจูไห่ เมื่อกลางปี ค.ศ.1990 ซึ่งสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับเมืองจูไห่ได้เป็นอย่างดี และพื้นที่ตั้งก็ใกล้กับมาเก๊าและฮ่องกงทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนทางความรู้และเศรษฐกิจ จนสามารถดึงดูดใจผู้ที่หลงใหลในการแข่งขันรถยนต์ได้มากกว่า 200,000 คน เลยทีเดียว จึงเป็นโอกาสให้จีนเริ่มพัฒนาพื้นที่ให้เป็นสนามแข่งมอเตอร์สปอร์ตขึ้นอย่างจริงจัง

 Zhuhai International Circuit สนามมาตรฐานระดับโลก

Zhuhai International Circuit ได้รับการออกแบบและความคุมการก่อสร้างโดยบริษัท Kinhill Engineers Pty Ltd ของออสเตรเลีย ซึ่งเป็นผู้สร้างกลุ่มเดียวกับผู้สร้าง Formula One Circuit ในแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย เปิดการใช้งานในกีฬามอเตอร์สปอร์ตครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1993 และมีการปรับปรุงรูปแบบสนามอยู่หลายครั้ง จนเสร็จสมบูรณ์ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ.1996 ก็ได้ใช้เป็นสนามสำหรับการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตระดับนานาชาติ ในรอบสุดท้ายของ BPR Global GT Series เป็นการแข่งขันสิ้นสุดฤดูกาลของการแข่ง GT ในหลายฤดูกาล

จนเมื่อซีรี่ย์ BPR ได้เปลี่ยนหมวดหมู่มาอยู่ในกลุ่มของ FIA GT สนามแข่งรถจูไห่ก็ได้ถูกใช้เป็นเจ้าภาพในการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศของ Intercontinental Le Mans Championship ในเวลาไม่นาน Zhuhai International Circuit ก็กลายเป็นแหล่งแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตที่ได้รับการยอมรับทั้งจากท้องถิ่นและนานาชาติ

สนามแข่งรถกว้างใหญ่ ความยาว 4.3 กิโลเมตร ตื่นเต้นด้วย 14 โค้ง วัดใจด้วย 5 โค้งอันตราย

Zhuhai International Circuit เป็นสนามที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเส้นทางที่รวดเร็วมาก ระยะทางโดยรวมมีความยาว 4.3 กิโลเมตร เส้นทางที่มีโค้งน้อยใหญ่รวมได้ถึง 14 โค้ง และมี 5 โค้งที่อาจเป็นจุดวัดใจผู้แข่งขันจนทำให้บางคนถึงกับสูญเสียการควบคุมรถของตัวเองได้

นอกจากเส้นทางแข่งขันที่น่าทึ่งแล้วนั้น พื้นที่อาณาเขตของ Zhuhai International Circuit ก็ประกอบด้วยโรงรถที่เป็นตัวอาคารที่มีมากกว่า 40 ยูนิต มีจอมอนิเตอร์ที่อยู่ในศูนย์ควบคุมการแข่งขันกว่า 30 จอ และครอบคลุมอย่างทั่วถึง ทำให้ผู้ชมไม่พลาดการแข่งขันในทุกระยะ สำหรับผู้ที่ไม่ได้มาร่วมชมในสนาม ก็จะสามารถติดตามได้จากการเชื่อมต่อสัญญาณดาวเทียมและอินเตอร์เน็ตสำหรับการแพร่ภาพผ่านโทรทัศน์ โดยศูนย์มีเดียร์ เซ็นเตอร์ที่มีอุปกรณ์จำเป็นในการสื่อสารและสามารถรองรับนักข่าวได้ถึง 200 คน

ยิ่งไปกว่านั้น Zhuhai International Circuit ยังมีศูนย์การแพทย์ พร้อมอุปกรณ์อย่างครบครัน ที่พร้อมปฏิบัติงานเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน พร้อมสรรพด้วยลานจอดเฮลิคอปเตอร์และสถานีบริการน้ำมัน รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ตามมาตรฐานสากล ซึ่งความยิ่งใหญ่ของสนามแข่งมอเตอร์สปอร์ตแห่งนี้ สามารถรองรับผู้ชมได้ถึง 60,000 ชีวิต ไม่นับรวมห้องวีไอพีที่สามารถรองรับผู้เข้าชมพิเศษได้กว่า 700 คน ซึ่งห้องวีไอพีนี้จะเป็นพื้นที่พิเศษที่ผู้หลงใหลในความเร็วจะเห็นความตื่นเต้นของการแข่งขันในมุมมองที่ดีที่สุด

ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบในกีฬามอเตอร์สปอร์ต คุณก็ควรมีสักครั้งในชีวิตที่ได้มาสัมผัสความอลังการของ Zhuhai International Circuit ด้วยสายตาของคุณเอง แล้วคุณอาจจะตกหลุมรักสนามมอเตอร์สปอร์ตแห่งนี้ก็เป็นได้

เครดิตรูป : https://www.pinterest.com/pin/31595634868906520/

Seoul World Cup Stadium หนึ่งที่เที่ยวในเกาหลีใต้ที่คุณไม่ควรพลาด

ประเทศเกาหลีใต้ในความคิดของใครหลาย ๆ คนก็จะทำให้นึกถึงการช้อปปิ้งจับจ่ายซื้อเครื่องสำอาง รวมถึงวงการเคป็อปที่นับเป็นหน้าเป็นตาให้กับเกาหลีใต้ได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าหากคุณอยากเข้ามาสัมผัสการท่องเที่ยวของเกาหลีใต้ที่มากกว่าความบันเทิงและหลีหนีความอึกทึกครึกโครมจากตัวเมือง เราก็อยากแนะนำให้คุณได้รู้จักกับ Seoul World Cup Stadium รวมถึงสถานที่ใกล้เคียงที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง ซึ่งอาจเป็นอีกเส้นทางการท่องเที่ยวที่คุณสามารถเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจได้ตลอดทั้งวันอย่างไม่รู้จักคำว่าเบื่อ

Seoul World Cup Stadium สนามกีฬายิ่งใหญ่ระดับเอเชีย

Seoul World Cup Stadium หรือชาวท้องถิ่นจะเรียกว่า Sangam Stadium สร้างขึ้นเพื่อในการแข่งขันฟุตบอล FIFA World Cup 2002 เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่เป็นอันดับที่สองของเกาหลีใต้ สามารถจุผู้ชมในสนามได้กว่า 66,000 ที่นั่ง ยังไม่รวมพื้นที่สำหรับห้องส่วนตัวที่มีมากถึง 75 ห้อง สนามถูกออกแบบมาในรูปแบบที่คล้ายว่าวเกาหลีเอกลักษณ์แบบดั้งเดิม ทำให้สนามกีฬาแห่งนี้เป็นสนามรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีความสูงถึง 50 เมตร มีเสากระโดงรองรับ 16 ต้น และครอบคลุม 90 เปอร์เซ็นของพื้นที่ในสนาม โครงสร้างที่หุ้มด้วยผ้าใยแก้วและกระจกโพลีคาร์บอเนตที่สะท้อนเงาได้อย่างงดงาม เป็นเอกลักษณ์คล้ายทำมาจากกระดาษฮันจี ที่เป็นกระดาษเกาหลีแบบดั้งเดิม ยิ่งเมื่อมองดูสนามกีฬาแห่งนี้ในยามค่ำคืน คุณก็จะเห็นแสงไฟสีนวลที่สะท้อนออกมา สร้างความอบอุ่นสายตาราวกับมองโคมไฟโบราณ

สถานที่เที่ยวยอดฮิตใกล้ Seoul World Cup Stadium

นอกจากการไปเยือน Seoul World Cup Stadium ที่คุณจะได้สัมผัสความอลังการของสนามกีฬาระดับเอเชียแล้ว ไม่ไกลจาก Seoul World Cup Stadium ยังเป็นที่ตั้งของ World Cup Park ที่เป็นสวนนิเวศวิทยาที่เกิดขึ้นจากการปรับปรุงพื้นที่ด้วยการฝังกลบขยะจำนวนมหาศาล และพัฒนาเป็นพื้นที่ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมจนถึงปัจจุบัน เป็นสถานที่พักผ่อนของครอบครัวชาวเกาหลีใต้ รวมถึงนักท่องเที่ยวก็ต่างพากันมาพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนชื่นชมบรรดาทุ่งดอกไม้ที่สวยงามรอรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย

ภายใน World Cup Park ประกอบไปด้วยสวนสาธารณะห้าแห่งด้วยกัน

  1. Pyeonghwa (Peace) Park หรือ สวนสันติภาพพยองฮวา ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม Seoul World Cup Stadium สร้างเพื่อระลึกถึงการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2020 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นได้เป็นเจ้าภาพร่วมกัน ชื่อของสวนแห่งนี้ก็สื่อถึงสันติภาพและเอกภาพของโลก ด้านในยังมี UNICEF Plaza, สระน้ำนันจิ, สวนป่า, สนามเด็กเล่นและพิพิธภัณฑ์ World Cup Park
  2. Haneul Park หรือ สวนฮานึล คำว่า ฮานึลในภาษาเกาหลีนั้น แปลว่าท้องฟ้า ซึ่งสวนแห่งนี้ตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของ World Cup Park การขึ้นไปยังสวนฮานึลนอกจากมีรถบัสขนาดเล็กให้บริการแล้ว คุณสามารถเดินขึ้นบันได้กว่า 291 ขั้นได้อีกด้วย สวนฮานึลนี้เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมที่ทำให้คุณมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามของกรุงโซลได้อย่างตื่นตาตื่นใจ
  3. Noeul Park หรือ สวนโนอึล เป็นอีกสวนสาธารณะที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่ง ที่นี่คุณจะได้พบกับสัตว์ป่าขนาดเล็ก อย่างเช่น กวาง แรคคูน เป็นต้น ดื่มด่ำกับงานศิลปะ ปติมากรรมบนสนามหญ้า ที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมของชนชาติเกาหลีได้อย่างใกล้ชิด ชื่นชมวิวแม่น้ำฮันและพระอาทิตย์ตกดิน
  4. Nanjicheon Park หรือ สวนนันจิชอน สวนนี้สร้างขึ้นตามลำธารที่ไหลมาจากใต้สวนฮานึล ซึ่งเคยเป็นแหล่งน้ำเสีย แต่ได้รับการปรับปรุงจนเป็นลำธารที่ใสสะอาด ในสวนมีเวทีกลางแจ้งและอุปกรณ์กีฬาเพื่อให้ผู้มาเยือนได้ออกกำลังท่ามกลางอากาศบริสุทธิ์
  5. Hangang Riverside Park หรือ สวนสาธารณะฮันกัง สวนนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฮัน เป็นพื้นที่ศึกษาธรรมชาติ ผู้มาเยือนสามารถเล่นฟุตบอล เล่นบาสเกตบอล หรือนั่งเล่นบนสนามหญ้าอย่างสบายใจท่ามกลางสายลมโชยริมแม่น้ำ

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตกหลุมรักประเทศเกาหลีใต้และยังไม่เคยมาเยือน Seoul World Cup Stadium และสวนสวยต่างๆ ใน World Cup Park ที่เราได้แนะนำ คุณก็อย่ารอช้าที่จะให้ที่แห่งนี้อยู่ในแผนการเดินทางของคุณในครั้งหน้า รับรองว่าคุณจะไม่ผิดหวัง เมื่อคุณได้มาเห็นความงดงามด้วยตาของคุณเอง

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/fr/photos/stade-de-la-coupe-du-monde-sangam-2923634/

ช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต การลงทุนที่คุ้มค่าสมฐานะสนามแข่งมาตรฐานสากล

เป็นที่รู้กันว่าสนามช้างอินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต หรืออีกชื่อหนึ่งคือ บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จะเป็นสถานที่ใช้แข่งขันจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก 2020 “โออาร์ไทยแลนด์ กรังด์ปรีซ์ 2020” โมโตจีพี Moto GP สนามที่ 2 แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 (Covid-19) ทำให้การแข่งขันรถจักรยานยนต์ที่แฟน Moto GP เฝ้ารอคอยต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด

แต่ก่อนที่จะได้รู้ว่าการแข่งขันเจ้าความเร็วรายการนี้จะจัดขึ้นเมื่อไร เราควรทำความรู้จักสนามแข่งรถมอเตอร์สปอร์ตในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานจากสมาพันรถยนต์นานาชาติ หรือ FIA เกรด 1 เป็นมาตรฐานของสนามที่ใช้จัดการแข่งขันรถฟอร์มูลาวัน และ FIM เกรด A ซึ่งบ่งบอกว่าเป็นระดับสนามที่สามารถใช้แข่งขัน Moto GP ได้

ตั้งแต่มีการใช้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตเป็นสนามแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ต เมื่อปี 2014 สนามแห่งนี้ก็เริ่มเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติเพิ่มมากขึ้น ความสำเร็จที่ผ่านมาของสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ได้สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศไทยไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

ความยิ่งใหญ่ของพื้นที่และวงจรการแข่งขันที่น่าตื่นเต้น

สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ได้รับการออกแบบโดยแฮร์มันน์ ทิลเคอ (Hermann Tilke) ซึ่งเป็นทั้งวิศวกรและอดีตนักแข่งรถมืออาชีพชาวเยอรมัน เขามีประสบการณ์การออกแบบสนามแข่งรถฟอร์มูลาวันอย่างโชกโชน สนามที่เขาออกแบบครั้งแรกและเป็นที่รู้จักดีของเหล่าแฟนมอเตอร์สปอร์ตนั้นก็คือ สนามเอวันริงในออสเตรีย

สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ถูกออกแบบให้มีระยะทางยาว 4.554 กิโลเมตร (2.829 ไมล์) ประกอบด้วยโค้งน้อยใหญ่ จำนวน 12 โค้ง ความเร็วสูงสุดที่นักแข่งสามารถใช้ได้คือ 330.4 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สนามแห่งนี้สามารถรองรับผู้ชื่นชอบในกีฬามอเตอร์สปอร์ตได้มากถึง 50,000 คน

รายการแข่งขันสำคัญที่เคยผ่านสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต

– รายการ Super GT เป็นการแข่งขันซูเปอร์คาร์ รายการอันดับหนึ่งของเอเชีย ที่มีผู้เข้าชมมากกว่า 130,000 คน นับเป็นสถิติการเข้าชมการแข่งขันที่สูงที่สุดของสนามแข่งตั้งแต่เคยมีการแข่งขันรายการนี้

– รายการ World SBK การแข่งขันรถจักรยานยนต์ชิงแชมป์โลก ประเภทรถโปรดักชั่น

– รายการ WTCC หรือ FIA World Touring Car Championship เป็นการแข่งขันทัวริ่งคาร์ชิงแชมป์นานาชาติ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยสมาพันธ์รถยนต์นานาชาติ

– รายการ Moto GP ที่นับเป็นสุดยอดรายการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ตรายการสำคัญที่ทำให้สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตเป็นที่รู้จักมากขึ้นในระดับนานาชาติ ตั้งเริ่มมีการจัดการแข่งในฤดูกาล 2018 เป็นสนามที่ 15 จากทั้งหมด 19 สนามทั่วโลก ซึ่งเป็นการแข่งขันโมโตจีพีครั้งแรกในประเทศไทย ในปี 2018 – 2019 ที่ผ่านมา รายการนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ชมทั่วทุกสารทิศ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ในปี 2020 นี้ การแข่งขันรายการนี้ต้องถูกเลื่อนออกไปจนกว่าจะยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ได้

ถึงแม้เวลานี้จะไม่มีการแข่งขันกีฬามอเตอร์สปอร์ตในสนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิตที่จังหวัดบุรีรัมย์ แต่เชื่อว่าแฟนกีฬามอร์เตอร์สปอร์ตทั้งหลายก็ได้รับรู้ว่าประเทศไทยก็มีสนามที่รองรับการแข่งขันที่มีมาตรฐาน จนอาจเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางมอเตอร์สปอร์ตของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เครดิตภาพ : https://www.pinterest.com/pin/718042734326840623/

โคลอสเซียม (Colosseum) สนามกีฬาแห่งจักรวรรดิโรมัน หนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ต้องไปเยือน

ถ้าหากให้นึกถึงสนามกีฬาที่เก่าแก่ที่สุดของโลกแน่นอนว่าจะต้องมีชื่อของสนามกีฬาโคลอสเซียม (Colosseum) ติดอยู่ในรายชื่อเหล่านั้นอย่างแน่นอน สนามกีฬาสุดเก่าแก่แต่ยังคงเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวที่ไปเยือนกรุงโรม ประเทศอิตาลี จะต้องไปสัมผัสกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมขนาดยักษ์นี้ด้วยตาของตัวเองสักครั้งหนึ่ง

น่าทึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ของโลก

โคลอสเซียม  (Colosseum) ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ของโลก ที่มีความเก่าแก่กว่า 1,900 ปี ถูกสร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 1 สมัยจักรพรรดิเวสเปเซียนแห่งจักรวรรดิโรมัน ใช้เวลาสร้างรวม 10 ปีกว่าจะแล้วเสร็จ ซึ่งตรงกับสมัยของจักรพรรดิไททัส โคลอสเซียมเป็นสนามกีฬากลางแจ้งของมหึมา ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม สร้างขึ้นจากหินทราเวอร์ทีน (Tarvertine), หินทัฟฟ์ (Tuff) และหินคอนกรีตที่ก่อด้วยอิฐ ท่ามกลางความไร้เทคโนโลยีสมัยใหม่ การสร้างโคลอสเซียมนั้นคือความมหัศจรรย์ที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์และสามารถต้อนรับผู้ชมได้กว่า 50,000 ชีวิต

ความยิ่งใหญ่ของโคลอสเซียมที่คุณอาจจะเคยได้ยินมาบ้าง นั่นก็คือการถูกใช้เป็นสนามแข่งขันสำหรับเกลดิเอเตอร์เพื่อใช้ต่อสู้เยี่ยงนักรบ ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของคนด้วยกันเองอย่างพวกทาสที่ต้องการอิสรภาพ หรือคนทั่วไปที่แสวงหาเงินรางวัล ไปจนถึงทหารยอดฝีมือที่อยากประลองกำลัง รวมไปถึงการต่อสู้เอาชีวิตรอดจากสัตว์เดรัจฉานที่ขึ้นชื่อว่าแสนดุร้าย เช่น เสือ สิงโต วัวกระทิง หมียักษ์ ซึ่งผู้ที่คลั่งไคล้การต่อสู้ และกลิ่นคาวเลือดก็มักจะนิยมเข้ามาชมการต่อสู้และวางเดิมพันกันอย่างสนุกสนานในสนามกีฬาแห่งนี้

จากสังเวียนต่อสู้ สู่โบสถ์แห่งคริสตจักร จนกลายมาเป็นสถาปัตยกรรมโรมันอันลือชื่อ

โคลอสเซียมประสบปัญหาบ่อยครั้งจากแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นหลายครั้งจนสร้างความเสียหายอย่างมาก รวมทั้งกรุงโรงถูกรุกรานจนตกอยู่ในภาวะสงครามก็ทำให้โคลอสเซียมถูกทำลายไปด้วย จนกระทั่งหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ของอิตาลี ช่วง ค.ศ. 590 – 604 โป๊ปเกรกอเรียส แมกนุส องค์ประมุขคริสตจักรคาทอลิก ได้เป็นผู้นำในการบูรณะโคลอสเซียม พระองค์ทรงมีดำริให้เปลี่ยนสังเวียนการต่อสู้นี้ ให้กลายเป็นโบสถ์แห่งคริสตจักรคาทอลิก จนถึงยุคของกษัตริย์นโปเลียน โคลอสเซียมก็ได้รับการบูรณะเรื่อยมา

จนถึงยุคสมัยปัจจุบันโคลอสเซียมได้รับการซ่อมแซมบูรณะครั้งใหญ่จากการสนับสนุนงบประมาณของธนาคารเอกชนแห่งหนึ่ง จนแล้วเสร็จในปี ค.ศ.2003 ซึ่งในปัจจุบันอดีตสังเวียนเลือดแห่งนี้ก็กลายเป็นสถาปัตยกรรมโรมันที่โด่งดัง นับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอันดับต้น ๆ ของกรุงโรม ที่ในแต่ละปีมีผู้มาเยือนไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคนต่อปี

เป็นที่น่าเสียดายที่ในปี 2020 นี้ อิตาลีเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือโควิด-19 จนทางภาครัฐต้องดำเนินมาตรการ “ปิดเมือง”  ทำให้กรุงโรมตกอยู่ในสภาพเมืองที่ไร้นักท่องเที่ยว โคลอสเซียมที่เคยรองรับผู้คนจากทั่วทุกสารทิศก็เงียบเหงาในรอบหลายร้อยปี รออีกไม่นานเมื่อการแพร่ระบาดของโรคร้ายนี้สงบลง เชื่อเหลือเกินว่าผู้คนมากมายก็ยังคงหลั่งไหลกลับไปสัมผัสความยิ่งใหญ่ของกรุงโรม และไม่ลืมที่จะไปเยือนสถาปัตยกรรมโบราณที่ชื่อว่าโคลอสเซียมนี้อย่างแน่นอน

เครดิตภาพ : https://pixabay.com/photos/rome-colosseum-italy-antique-arena-601950/