เปิดประวัติร้อยปีของรายการ Monaco Grand Prix ศึกประลองในตำนานของนักขับรถสูตรหนึ่ง

Monaco Grand Prix การผสมผสานที่น่าตื่นตาตื่นใจของความเร็ว ความเย้ายวนใจ และศักดิ์ศรี ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในขอบเขตของมอเตอร์สปอร์ต การแข่งขันที่ตั้งอยู่บน French Riviera ที่ระยิบระยับไปตามท้องถนนในโมนาโกได้ดึงดูดผู้ชมมานานกว่าศตวรรษ เข้าร่วมการเดินทางอันน่าตื่นเต้นผ่านกาลเวลาไปพร้อมกับการคลี่คลายเรื่องราวอันเข้มข้นของประวัติศาสตร์การแข่งขัน Monaco Grand Prix เจาะลึกถึงต้นกำเนิด ช่วงเวลาอันเป็นสัญลักษณ์ และมรดกตกทอดที่สืบทอดมายาวนาน

บทที่ 1: บทเริ่มต้นและขวบปีแรก (2472-2492)

เรื่องราวของ Monaco Grand Prix เริ่มขึ้นในปี 2472 เมื่อ แอนโทนี น็อตส์ ประธานชมรมรถยนต์แห่งโมนาโก จินตนาการถึงการแข่งขันบนถนนในมอนติคาร์โล การแข่งขันครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2472 ดึงดูดผู้ที่ชื่นชอบการแข่งรถและผู้แสวงหาความตื่นเต้น งานเปิดตัวนี้เป็นสักขีพยานในชัยชนะที่ไม่ธรรมดาของวิลเลียม โกรเวอร์-วิลเลียมส์

บทที่ 2: การฟื้นคืนชีพหลังสงครามและการขึ้นครองตำแหน่ง (2493-2512)

หลังจากหยุดช่วงสั้น ๆ เนื่องจากสงครามโลกครั้งที่สอง Monaco Grand Prix กลับมาในปี 2493 โดยเป็นส่วนหนึ่งของรายการแข่งขันฟอร์มูลาวันชิงแชมป์โลกที่จัดตั้งขึ้นใหม่ ช่วงเวลานี้เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานการแข่งรถ เช่น ฮวน มานูเอล ฟานจิโอ, สเตอร์ลิง มอสส์ และเกรแฮม ฮิลล์ ซึ่งต่างก็ทิ้งร่องรอยที่ลบไม่ออกไว้ในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน ถนนแคบและคดเคี้ยวของมอนติคาร์โลมีความหมายเหมือนกันกับการขับแซงที่บ้าระห่ำ การชนที่ขนหัวลุก และช่วงเวลาแห่งความเฉลียวฉลาด

บทที่ 3: ยุคทอง (2513-2542)

ทศวรรษที่ 1970 เป็นจุดเริ่มต้นของยุคทองของการแข่งขัน Monaco Grand Prix ไอร์ตัน เซนนา ในตำนานครองช่วงเวลานี้โดยชนะการแข่งขันถึงหกครั้ง การแข่งขันที่รุนแรงของเขากับอลัง พรอสต์ ทำให้เกิดช่วงเวลาที่น่าทึ่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขัน โดยถึงจุดสูงสุดที่การปะทะกันที่น่าอับอายที่สนามชิเคนในปี 1988 การแข่งขันกลายเป็นปรากฏการณ์ประจำปี ดึงดูดผู้คนนับล้านทั่วโลกด้วยการผสมผสานระหว่างการแข่งรถความเร็วสูงและ สภาพแวดล้อมที่มั่งคั่ง

บทที่ 4: ชัยชนะและความท้าทายสมัยใหม่ (พ.ศ. 2543-ปัจจุบัน)

เมื่อสหัสวรรษใหม่เริ่มขึ้น Monaco Grand Prix เผชิญกับความท้าทายของการปรับปรุงให้ทันสมัยในขณะที่พยายามรักษาเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การปรับปรุงด้านความปลอดภัย และภูมิทัศน์ของฟอร์มูลาวันที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนเค้าโครงวงจร แม้จะมีการดัดแปลงเหล่านี้ แต่การแข่งขันก็ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์และดึงดูดชื่อที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการมอเตอร์สปอร์ต นักแข่งอย่าง มิชชาเอล ชูมัคเคอร์, ลูวิส แฮมิลตัน และ เซบัสทีอัน เฟ็ทเทิล ได้จารึกชื่อของพวกเขาไว้ในประวัติศาสตร์ของโมนาโก เสริมมรดกอันแวววาวของการแข่งขัน

บทที่ 5: มรดกที่ยังมีชีวิต

ปัจจุบัน Monaco Grand Prix ยังคงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่มีใครเทียบได้ ดึงดูดผู้ชมทั่วโลกและ ถือเป็นสุดยอดการแข่งขันระดับหัวกะทิของสังคม เสน่ห์ของมันครอบคลุมมากกว่าผู้ที่ชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ต ดึงดูดใจแฟนแฟชั่น ความบันเทิง และความหรูหรา การแข่งขันอยู่เหนือการแข่งขันเพียงอย่างเดียว เป็นสัญลักษณ์ของการหลอมรวมสุดยอดของความเร็วและความเย้ายวนใจในฉากหลังที่น่าทึ่งพอๆ กับการแข่งขัน

การแข่งขัน Monaco Grand Prix ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าเก้าทศวรรษ ยังคงสร้างความประทับใจให้กับโลกด้วยเสน่ห์เหนือกาลเวลา จากจุดกำเนิดที่ต่ำต้อยบนท้องถนนของมอนติคาร์โลสู่สถานะที่เป็นจุดสูงสุดของมอเตอร์สปอร์ต การแข่งขันอันเป็นเอกลักษณ์นี้ได้เป็นสักขีพยานแห่งชัยชนะนับครั้งไม่ถ้วน ช่วงเวลาที่หัวใจหยุดเต้น และแชมป์เปี้ยนในตำนาน ขณะที่เครื่องยนต์คำราม ความเย้ายวนใจและความเย้ายวนใจเผยออกมา โมนาโกกรังด์ปรีซ์ยังคงเป็นข้อพิสูจน์ที่ไม่มีใครเทียบได้ในด้านความเร็ว ทักษะ และการแสวงหาความเป็นเลิศ

ผลกระทบของโควิดที่มีผลต่อวงการกีฬาทั่วโลก การเปลี่ยนแปลงที่อาจเลี่ยงไม่ได้

สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโลกของเราได้ทั้งโลกขณะนี้คงหนีไม่พ้นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นับตั้งแต่ปลายปี 2562 จนถึงตอนนี้ ทำให้กิจกรรมในชีวิตประจำวันของมนุษย์มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กับวงการกีฬาก็เช่นเดียวกันที่จำเป็นต้องเลื่อนรายการแข่งขันประจำปีออกไปหลายรายการ และแม้จะกลับมาทำการแข่งขันได้แต่ทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิม ในที่นี้เราขอแยกผลกระทบออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ เพื่อที่ทุกคนจะได้เห็นภาพชัดมากขึ้น

ผลกระทบทางด้านพฤติกรรมของคนดูกีฬา

ในภาวะปกติก่อนโควิด แฟน ๆ กีฬาส่วนใหญ่ชอบที่จะเข้าไปเกาะขอบสนามติดตามเกมกีฬาอย่างใกล้ชิด อย่างเช่นการแข่งขันฟุตบอล ที่เคยมีแฟนบอลเข้าไปชมเกือบเต็มสนาม แต่เมื่อสถานการณ์นี้เกิดขึ้น จึงทำให้ทุกคนมีความระมัดระวังตัวเองมากขึ้น รวมทั้งการมีมาตรการรักษาระยะห่างในสังคมที่เราต้องปฏิบัติตามกันอย่างเคร่งครัด จึงทำให้พฤติกรรมของการเข้าชมเกมกีฬา และการใช้ชีวิตประจำวันเปลี่ยนไป

เมื่อพฤติกรรมของคนดูเปลี่ยนไป สื่อต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ สื่อโซเชียล แพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนตามอย่างเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายขึ้นบ้าง แต่ดูเหมือนว่าคนจะยังนิยมอยู่บ้านมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ธุรกิจที่เกี่ยวกับการเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดกีฬา จึงมีความได้เปรียบขึ้นมาเพราะเมื่อออกไปชมกีฬานอกบ้านไม่ได้ ผู้คนก็ลงทุนจ่ายเงินเพื่อรับชมกีฬาที่บ้าน แถมยังปลอดภัยไม่มีความเสี่ยงต่อการออกนอกบ้านอีกด้วย

ที่เห็นได้ชัดอย่างเช่นรายการแข่งขันฟุตบอลของลีกต่าง ๆ ทั้งไทยและต่างประเทศ ขอยกอย่างเช่น พรีเมียร์ลีกของอังกฤษ ที่แม้จะกลับมาแข่งขันได้แล้ว แต่ยังจำกัดการเข้าชมของแฟนบอลอยู่ที่ไม่เกิน 25% ของความจุสนาม แต่เน้นที่การถ่ายทอดสดให้แฟนบอลรับชมเกมผ่านสื่อออนไลน์มากขึ้น หรืออย่างเช่นในไทยที่เริ่มการแข่งขันกีฬา แต่อนุญาตให้ผู้ชมเข้าชมในสนามได้ไม่เกิน 15% ของความจุสนามหรือไม่เกิน 1,000 คนสำหรับกีฬากลางแจ้ง ส่วนกีฬาที่แข่งในร่ม ต้องมีผู้ชมไม่เกิน 500 คน ทั้งนี้ทุกคนที่เข้าชมกีฬาจะต้องปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

ผลกระทบในแง่ของรายได้

รายได้หมุนเวียนที่มาจากการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ ในแต่ละปี ต้องหดหายไปเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าผลกระทบจากโควิดไม่ได้ส่งผลต่ออุตสาหกรรมกีฬาเพียงอย่างเดียว ธุรกิจอื่น ๆ ล้วนได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น แต่ในที่นี้เราขอยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นต่อการแข่งขันกีฬาที่โดยปกติสามารถสร้างรายได้และช่วยสร้างเศรษฐกิจในประเทศได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ

รายได้หลักของการแข่งขันกีฬาแต่ละครั้งนั้นถูกแบ่งออกเป็น 4 ส่วน ซึ่งจำแนกออกมาได้ดังนี้

  1. รายได้จากการแข่งขัน
  2. รายได้จากร้านค้ากีฬา
  3. รายได้ค่าธรรมเนียมจากการเข้าสปอร์ตคลับ หรือยิม
  4. รายได้จากการขายอาหาร, เครื่องดื่มรวมถึงการพนันในเกมแข่งขัน

ในที่นี้เราจะไม่เจาะลึกถึงมูลค่าความเสียหายออกมาเป็นตัวเลข แต่เพียงอยากแสดงให้เห็นว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นเกิดขึ้นกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้องของวงการกีฬา ไม่ใช่แค่เพียงตัวนักกีฬาเอง แต่ผู้สนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังนั้นก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจึงต้องยอมรับว่าโลกกำลังเปลี่ยนไปแล้ว ทำอย่างไรเราจึงจะปรับตัวตามได้และอยู่อย่างมีความสุข

E-Sports กีฬาอิเลกทรอนิกส์ กับความนิยมของเด็กไทย

ตอนนี้คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักกีฬาประเภทหนึ่งที่เรียกว่า E-Sports ซึ่งกำลังได้รับการยอมรับมากขึ้นในประเทศไทย และได้รับการบรรจุว่าเป็นกีฬาอีกชนิดหนึ่งที่มีการแข่งขันเหมือนกีฬาชนิดอื่น ๆ 

E-Sports หรือกีฬาอิเล็กทรอนิกส์ คือกีฬาประเภทบุคคลหรือทีม ที่เกี่ยวกับการแข่งขันวิดีโอเกม โดยมีการแข่งขันตามประเภทของวิดีโอเกม เช่น เกมวางแผนการรบ เกมต่อสู้ เกมยิง เป็นต้น การแข่งขันจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ ได้แก่ ระดับมือสมัครเล่น ระดับกึ่งอาชีพและระดับมืออาชีพ

ย้อนเวลากลับไปเมื่อปี 1972 ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ E-Sports ได้มีการแข่งขันวิดีโอเกมครั้งแรกที่มหาวิทยาลัยสแตมฟอร์ด ประเทศสหรัฐอเมริกา เกมแรกที่ใช้แข่งคือ Space War หรือเกมยิงจรวด จนอีก 9 ปีต่อมา บริษัท Atari ได้จัดการแข่งขันเกม Space Invaders โดยมีผู้เข้าร่วมกว่า 5,000 คน จากทั่วสหรัฐ ฯ และเกมที่เป็นตัวจุดกระแสให้กับวงการ E-Sport ก็คือเกม StarCraft ซึ่งเป็นเกมที่ดังมากในสมัยนั้น

ทำไม ESports จึงได้รับการยอมรับจนกลายเป็นกีฬา

ก่อนจะได้รับการยอมรับ ก็ย่อมต้องผ่านอุปสรรคมาก่อนเสมอ ในประเทศไทยเองยังมีการคัดค้านการรองรับให้ E-Sports เป็นกีฬา โดยให้ความเห็นว่าไม่เหมาะสมกับสังคมไทยที่ยังมีปัญหากับการใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์เพราะเกรงว่าเยาวชนไทยอาจจะมีปัญหาเสพติดเกมมากเกินไปจนไม่สนใจการเรียน

ในที่สุดที่ประชุมคณะกรรมการ การกีฬาแห่งประเทศไทย ได้เห็นชอบให้ E-Sports เป็นชนิดกีฬาที่สามารถจัดตั้งให้เป็นสมาคมกีฬาในประเทศไทยได้ และได้รับอนุมัติอย่างเป็นทางการจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาในปี 2560 จากจุดนี้เองทำให้ไทยส่งผู้เข้าแข่งขันอีสปอร์ตในนามทีมชาติไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งการยอมรับครั้งนี้เกิดจากมุมมองที่ว่าการแข่งขันกีฬา เป็นคนละส่วนกันกับปัญหาสังคมเช่น การติดเกม และเกมที่ใช้ในการแข่งขัน E-Sports ก็มีมากมายหลากหลายแนว ซึ่งต้องใช้ทั้งการวางแผน การทำงานเป็นทีม การวิเคราะห์ วางกลยุทธ์ ซึ่งไม่ต่างจากกีฬาปกติทั่วไป รวมทั้งข้อดีของอีสปอร์ตคือไม่มีการจำกัดเพศ อายุ หรือข้อจำกัดด้านร่างกายอื่น ๆ และ E-Sports ยังได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาที่แข่งขันชิงเหรียญอย่างเป็นทางการในกีฬาเอเชียนเกมส์ 2022 อีกด้วย

เด็กไทยเก่งไม่เป็นรองใคร มุ่งมั่นคว้าแชมป์ ESports ได้ในการแข่งขันชิงแชมป์โลก

การได้รับการยอมรับและการสนับสนุนที่ถูกทาง ทำให้เด็กไทยได้ไปสร้างชื่อเสียงสำหรับการแข่งขัน E-Sports ให้กับประเทศไทย ในรายการ International E-Sports Festival 2019 ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งจัดขึ้นสำหรับตัวแทนนักกีฬา E-Sports ระดับเอเชีย ทั้งหมด 40 ทีม จาก 12 ประเทศ

เด็กไทยที่เข้าร่วมแข่งขันมาจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพทั้งหมด 3 คน เกมที่เข้าแข่งขันมีทั้งหมด 3 เกม ได้แก่ LoL,  RoV และ FIFA Online 4 จากทั้งหมด 40 ทีม เด็กไทยก็สามารถผ่านเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายได้อย่างสบาย และเกมที่ทีมไทยสามารถเข้าไปชิงชนะเลิศจนสามารถคว้าแชมป์มาได้ก็คือเกม LoL นับว่าเป็นอีกก้าวหนึ่งของความสำเร็จของวงการ E-Sports ไทยที่แสดงให้เห็นว่าการสนับสนุน E-Sports ให้เป็นกีฬาหรือเกมแข่งขันนั้นเป็นเรื่องที่ดีเพราะเด็กไทยได้ก้าวข้ามขีดจำกัดต่าง ๆ และแสดงศักยภาพออกมาให้เห็นในทางที่ดีแล้ว

กีฬาทางน้ำที่น่าท้าทายเหมาะกับอากาศร้อนของเมืองไทยสุด ๆ

กีฬาทางน้ำนั้นน่าสนใจตรงที่สภาพอากาศของเมืองไทยบ้านเรานั้นเหมาะแก่การเล่นน้ำเป็นอย่างยิ่ง บางครั้งเราจะเห็นต่างชาตินิยมมาเล่นกีฬาในบ้านเราเช่น การขับเจ็ทสกี หรือกีฬาเอ็กซ์ตรีมบางชนิด วันนี้เราจึงขอนำเสนอกีฬาทางน้ำที่เน้นความสนุกท้าทาย เอาไว้ไปหัดเล่นต้อนรับฤดูร้อน สลับกับการสนุกการลุ้นรางวัลจาก Fun88 ได้เลย

1.เซิร์ฟบอร์ด หรือกระดานโต้คลื่น เหมาะกับคนที่ชอบความตื่นเต้นท้าทายและต้องมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขามากเป็นพิเศษเพราะจะต้องยืนทรงตัวให้อยู่บนกระดานโต้คลื่นท่ามกลางคลื่นที่พัดสูงกลางทะเล

แหล่งเล่นกีฬาเซิร์ฟบอร์ดของไทยที่เป็นที่นิยมนั้นก็คือชายฝั่งทะเลอันดามันของเกาะภูเก็ต ซึ่งมีชายหาดชื่อดังเหมาะสำหรับเล่นเซิร์ฟหลายที่ เช่น หาดป่าตอง หาดกะตะ สำหรับมือใหม่ควรได้รับการแนะนำจากผู้ฝึกสอนในวิธีที่ถูกต้องก่อนลงเล่นจริง ส่วนใหญ่เราควรฝึกว่ายบนบอร์ดก่อนที่จะสามารถยืนโต้คลื่นบนกระดานได้

2.พายเรือคายัค กีฬานี้สามารถหาเล่นได้ง่ายมาก เพราะตามสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำต่าง ๆ เช่น อ่างเก็บน้ำ ทะเลสาบ หรือแม่น้ำในเมืองไทยนั้นมีมากมาย อย่างเช่นที่พักที่เป็นรีสอร์ทติดแม่น้ำ หรือทะเล

การพายเรือคายัคเป็นอีกหนึ่งกีฬาที่คนนิยมเล่นกันมาก เพราะการพายเรือล่องไปตามแหล่งน้ำ เป็นเหมือนการได้ผจญภัยและได้ชื่นชมทัศนียภาพไปตามที่ต่าง ๆ ถ้าไม่นับว่ากำลังอยู่ในเกมแข่งขัน อย่างไรก็ตามการพายเรือคายัคในแหล่งน้ำที่มีกระแส เช่น แม่น้ำใหญ่ ๆ ควรเล่นเป็นทีมและมีผู้ที่มีประสบการณ์คอยแนะนำไปด้วย

3. เวคบอร์ด เป็นกีฬาสายเอ็กซ์ตรีมทางน้ำที่ตื่นเต้นท้าทายมาก เนื่องจากมีการนำเทคนิคที่ใช้ในสกีน้ำ สโนว์บอร์ดและเซิร์ฟรวมไว้ด้วยกัน ซึ่งไฮไลท์ของการเล่นเวคบอร์ดก็คือการตีลังกาผาดโผน การหมุนตัวกลางอากาศ หรือท่าทางที่ผู้เล่นสามารถครีเอทได้ตามสไตล์ ซึ่งผู้เล่นกีฬาชนิดนี้ต้องอาศัยความกล้าบ้าบิ่นและรักความเร็ว จึงจะเล่นได้ แต่ห้ามลืมใส่อุปกรณ์ป้องกันให้แน่นหนา เช่นหมวกกันน็อค ชุดสำหรับเล่นเวคบอร์ด เป็นต้น สำหรับมือใหม่ควรฝึกด้วยการลองเล่น Kneeboard เพื่อฝึกทรงตัวไปก่อน และโชคดีที่ตอนนี้ในเมืองไทยสามารถหาที่เล่นเวคบอร์ดได้มากมายทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด

4.SUP Yoga ส่วนใหญ่คนจะคิดว่ากีฬาทางน้ำจะต้องเป็นแนวเอ็กซ์ตรีมเกือบทั้งหมด แต่ยังมีกีฬาอีกหนึ่งชนิดที่เราไม่ต้องเล่นผาดโผนมากมาย แต่ต้องเล่นบนผืนน้ำ สำหรับคนที่ชอบฝึกตัวเองด้วยการใช้สมาธิ ควรลองเล่น Standing Up Paddle Board Yoga หรือ SUP Yoga นั่นเอง เป็นการฝึกโยคะบนแพดเดิลบอร์ด หรือบอร์ดแบบเป่าลม ซึ่งผู้เล่นจะได้ลองฝึกความสมดุลของร่างกายด้วยการเล่นท่าโยคะต่าง ๆ บนผืนน้ำ ท่ามกลางความเย็นสบายและความงดงามของธรรมชาติรอบ ๆ

อาจจะฟังดูใหม่สำหรับคนที่ยังไม่เคยฝึกโยคะบนผืนน้ำแถมยังต้องทรงตัวบนบอร์ด แต่ไม่ต้องห่วงเพราะแพดเดิลบอร์ดมีขนาดใหญ่เหมาะสมกับสรีระของผู้เล่น กีฬา SUP Yoga เหมาะกับการเล่นบนผืนน้ำที่ไม่มีกระแสน้ำ เช่น บึง มากกว่าที่จะไปเล่นในทะเล เนื่องจากอาจจะถูกลมและกระแสน้ำพัดไปมาได้

โหดเบอร์ไหน กับการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ Isle of Man การแข่งที่เสี่ยงอันตรายที่สุดในโลก !

ถ้านอกเหนือจากการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบชิงแชม์โลกอย่าง MotoGP ซึ่งดีที่สุดในโลก สนุกที่สุด และได้ลุ้นแบบตื่นเต้นกันทุกช็อตแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรายการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่ชื่อว่า “Isle of  Man TT” (TT: Tourist Trophy) ที่อยากให้ได้รู้จักกัน เพราะเป็นรายการแข่งขันที่ดังมากในเรื่องของความโหดที่สุดในโลก !

เรารู้อยู่แก่ใจว่าการแข่งขันรถที่ใช้ความเร็วสูงสุด อย่าง F1 และ MotoGP หรือรายการแข่งรถอื่น ๆ ก็อาจจะเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา แต่เมื่อเทียบกับรายการแข่งขันรถ Isle of Man TT ที่เรากำลังจะบอกว่าโหดที่สุดและมีนักแข่งต้องเสียชีวิตจากการแข่งขันรายการนี้มากที่สุด ทำไมจึงเป็นแบบนั้น ?

Isle of Man ซึ่งอ่านว่า ไอส์ล ออฟ แมน หรืออ่านว่า มานน์ ซึ่งเป็นชื่อของเกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ระหว่างไอร์แลนด์กับอังกฤษ เริ่มการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ทางเรียบมาตั้งแต่ปี 1907 และจัดการแข่งขันขึ้นในช่วงสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคมจนถึงช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนของทุกปี

ความโหดของรายการนี้คือสนามที่ใช้แข่งไม่ใช่สนามแบบธรรมดาที่ถูกสร้างขึ้นมา แต่เป็นสนามที่สร้างตามสภาพแวดล้อมที่มีอยู่จริง ๆ และมีระยะทางยาวกว่า 200 กิโลเมตร เส้นทางการแข่งขันนั้นมีอุปสรรคมากมายทั้งต้องขับขึ้นเนิน ขึ้นเขา มีโขดหิน เสาไฟฟ้า แถมยังมีตึกรามบ้านช่องของผู้คนเรียงรายอยู่ข้างทาง

ซึ่งต่างจากสนามเซอร์กิตที่ระบบความปลอดภัยต่าง ๆ สูงมาก เช่น มีบังเกอร์ข้างทาง มีสัญญาณและป้ายต่าง ๆเตือนนักแข่ง และมีวิสัยทัศน์ในสนามที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน แต่นักแข่งในรายการ Isle of Man ที่ต้องขับมาด้วยความเร็วสูงมาก โดยความเร็วเฉลี่ยที่นักบิดในสนามนี้ใช้สูงถึง 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง เลยทีเดียว แต่วิสัยทัศน์ของนักแข่งจะถูกบดบังด้วยตึกรามบ้านช่องต่าง ๆ บรรดานักแข่งที่เข้าร่วมรายการจึงต้องใช้ความระมัดระวังและบวกกับทักษะความสามารถในการขับเส้นทางที่อันตรายเหล่านี้เป็นอย่างมาก

แม้ว่ารายการแข่ง Isle of  Man จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องของระบบความปลอดภัยในสนามแข่งขัน ความอันตรายต่าง ๆ รวมถึงมาตรฐานการแข่งขันต่าง ๆ ที่ควรมี แต่การแข่งขันก็ยังจัดขึ้นทุกปี และที่แย่กว่านั้นคือมีนักแข่งที่ต้องสังเวยชีวิตให้กับสนามแห่งนี้เกือบทุกฤดูกาล ในฤดูกาลแข่งขัน 2019 ก็ยังมีนักแข่งเสียชีวิตจากอุบัติเหตุในระหว่างแข่งขันอีก 1 คน และดูเหมือนว่านักแข่งทุกคนรู้ว่าสนามนี้มีความโหดมากแค่ไหนและอาจจะต้องเสี่ยงต่อชีวิตตนเองทุกวินาที แต่ยังเต็มใจที่จะเข้าร่วมแข่งขันกันอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้เรทติ้งของรายการนี้ยิ่งสูงขึ้นทุกปี ด้วยความบ้าระห่ำสุดขั้วที่เหมือนจะบอกว่า ยิ่งบ้า ยิ่งน่าท้าทาย

สุดท้ายนี้ขอฝากวลีอมตะของนักแข่งที่เป็นหนึ่งในสุดยอดนักแข่งรายการ Isle of  Man นั่นก็คือ กาย มาร์ติน โดยเขาได้กล่าวไว้ว่า “The reason I do it is because if you get wrong. It’ll kill you. If you think it’s too dangerous then go home and cut your grass and leave us to it.” แปลเป็นไทยได้ว่า “เหตุผลที่ผมลงแข่งก็เพราะว่า ถ้าคุณทำพลาด มันจะฆ่าคุณ ดังนั้นถ้าคุณคิดว่ามันอันตรายเกินไป ก็จงกลับบ้านไปตัดหญ้าในสนามหน้าบ้านจะดีกว่าและปล่อยหน้าที่นี้ให้ผมซะ” คงพอจะเดาได้ว่าเจ้าของวลีนี้น่าจะมีความเข้าใจถึงความโหดในการแข่งขันเป็นอย่างดี แถมมีความกล้าและรักความท้าทายสุด ๆ ไปเลย

เตรียมตัวไปวิ่งเทรล กับสุดยอดเทคนิคดี ๆ ที่จะทำให้คุณต้องรอด

กีฬาที่สามารถไปคนเดียวได้โดยไม่ต้องง้อใครเลยก็เห็นจะเป็นการวิ่งนี่แหละ แต่การวิ่งบนถนนปกติอาจจะธรรมดาไป ตอนนี้เราเลยเห็นคนไปวิ่งเทรลกันเยอะขึ้น แล้วการวิ่งเทรลต่างจากวิ่งปกติอย่างไร เรามีเทคนิคที่ดีมาฝากกัน

การวิ่งเทรล (Trail Running) เป็นการวิ่งและการเดินเขาผ่านเส้นทางธรรมชาติ เช่น ลุยเข้าไปในป่า เดินขึ้นเขา ทุ่งหญ้า ผ่านลำธาร น้ำตกซึ่งมีทั้งก้อนหิน ทราย ดินโคลน เส้นทางเหล่านี้ไม่ได้เรียบเหมือนพื้นถนนทั่วไป ดังนั้นการวิ่งเทรลก็ต้องยากขึ้นมาอีกพอสมควร ดังนั้นนักวิ่งเทรลมือใหม่ หรือมือเก่าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการซ้อมวิ่งที่นักวิ่งหลายคนควรทำเป็นประจำก่อนถึงเวลาลงวิ่งจริง เพราะการซ้อมนี่แหละที่ทำให้การออกไปวิ่งในวันจริงประสบความสำเร็จ ในที่นี้ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องได้รางวัล หรือได้ถ้วยเสมอไป แค่คุณสามารถวิ่งได้จนจบเส้นทางและไม่ได้รับบาดเจ็บนั่นก็ถือว่าสุดยอดแล้ว

เทคนิคการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนวิ่งเทรล และอุปกรณ์ที่จำเป็น

1.การซ้อมและการสำรวจเส้นทางวิ่ง ควรสำรวจเส้นทางที่เรากำลังจะออกไปวิ่ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าเราจะเจอกับอะไรบ้าง ส่วนใหญ่การวิ่งเทรลเราจะได้รับกราฟแสดงเส้นทางมาพร้อมกับ BIB ซึ่งจะแสดงความสูงชันของพื้นที่นั้น ๆ ตรงนี้ถ้าเราศึกษาไปดี ๆ ก็จะได้รู้ว่าเราควรวิ่งแบบไหนช่วงไหนควรเซฟพลังงาน และควรจัดการกับตัวเองอย่างไร ถึงจะสามารถวิ่งได้ไปจนจบเส้นทางโดยไม่หมดแรงไปก่อน

2.การเลือกรองเท้าสำหรับวิ่งเทรล การทำความรู้จักกับพื้นที่ที่เราไปวิ่ง ยังช่วยให้เราเลือกรองเท้าวิ่งให้ถูกกับสภาพพื้นที่ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า สนามเทรลนั้นเป็นพื้นที่ธรรมชาติ เราอาจจะเจอเนินหิน ดิน โคลนในระหว่างทาง หรือบางจุดอาจจะมีลำธารไหลผ่าน รองเท้าจึงต้องเป็นรองเท้าสำหรับวิ่งเทรลโดยเฉพาะและส่วนใหญ่จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานที่ต้องพิชิตสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว สังเกตว่าพื้นรองเท้าจะมีปุ่มไว้สำหรับยึดเกาะพื้น และมีความตื้น ลึก แตกต่างกันไป ถ้าลึกมากก็สามารถยึดเกาะพื้นได้มากขึ้น การซัพพอร์ตก็จะดีขึ้นด้วย แม้ว่าน้ำหนักจะมากขึ้นก็ตาม แต่ก็ช่วยให้เราปลอดภัยหากต้องเดินขึ้นเนินที่ลาดชันสูงนั่นเอง

3.เทรกกิ้งโพล หรือไม้ค้ำที่ใช้ค้ำยันเวลาเดินขึ้น-ลงเขา เพื่อช่วยผ่อนแรงขา เทคนิคคือ กำลังหลักจะอยู่ที่ขาของเรา ไม้ค้ำจะช่วยพยุงในเวลาที่ขาอ่อนแรง ไม่จำเป็นต้องเอาออกมาใช้ตลอดทาง

4.ไฟติดหัว การวิ่งเทรล บางครั้งอาจจะต้องเริ่มสตาร์ทตั้งแต่เช้ามืด แสงไฟจึงสำคัญมาก จำเป็นอย่างมากที่นักวิ่งจะต้องเห็นเส้นทางชัดเจนเพื่อความปลอดภัยของเราเอง

5.น้ำดื่ม สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือน้ำดื่มที่ต้องนำติดตัวไป เพราะการวิ่งเทรลนั้นจะสูญเสียพลังงานมากกว่าปกติเพราะต้องเจอกับความชันในเส้นทางวิ่ง ทำให้ต้องออกแรงมากกว่าปกติ รวมถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น สภาพอากาศที่ร้อนจัด การเสียเหงื่อมากอาจจะทำให้ร่างกายขนาดน้ำได้ ดังนั้นห้ามลืมพกน้ำไปด้วยเด็ดขาด

6. เกลือแร่และเจล เกลือแร่ควรแยกใส่ขวดน้ำเล็ก ๆ ไว้หรือใส่ขวดแบบนิ่มก็ได้ ส่วนเจลคือแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย ควรมีติดไว้ 1-2 ถุง หรือพิจารณาตามระยะทางที่เราวิ่ง ถ้ายังเป็นนักวิ่งเทรลระยะสั้นอาจจะไม่ต้องพกอะไรไปมากมาย ไม่อย่างนั้นอาจจะกลายเป็นเพิ่มน้ำหนักและกลายเป็นภาระสำหรับนักวิ่งไปเปล่า ๆ

7.อุปกรณ์อื่น ๆ ที่ช่วยปกป้องร่างกาย เช่น หมวก ปลอกแขน แว่นกันแดด ผ้าบัฟ เป็นต้น ควรเลือกหมวกที่มีน้ำหนักเบา ช่วยระบายอากาศได้ดี แว่นตาที่ช่วยป้องกันรังสียูวี ปลอกแขนป้องกนไม่ให้ผิวไหม้ เพราะอย่างที่รู้กันว่า กว่าจะวิ่งจบ อาจจะต้องเจอกับแสงแดดที่ร้อนจัด ซึ่งเป็นอันตรายต่อผิว

หวังว่าเทคนิคการเตรียมตัวทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่อยากจะไปวิ่งเทรลไม่มากก็น้อย ที่สำคัญเตรียมร่างกายและกำลังใจให้พร้อมรับรองว่าคุณต้องทำได้สำเร็จแน่นอน

Motocross การแข่งมอเตอร์ไซค์วิบากที่มีทั้งความมันส์และสนุก

รู้หรือไม่ว่าMotocross มาจากคำว่า Motorcycle และ Cross Country รวมกัน จึงกลายมาเป็น มอเตอร์ไซค์วิบาก หรือ โมโตครอส (Motocross) ซึ่งเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส แต่ได้รับความนิยมมากที่ประเทศอังกฤษ

โมโตครอส เกิดมาจากการทดลองโดยใช้รถจักรยานยนต์ทำกิจกรรมในรูปแบบลุย ๆ ซึ่งได้รับความนิยมมากในอังกฤษตอนเหนือ ในช่วงปี 1924-1930 หลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นกีฬา โดยมีการเรียกชื่อหลายรูปแบบเช่น MX หรือ MotoX จนมีการจัดการแข่งขันโมโตครอสขึ้นในระดับนานาชาติ ตั้งแต่ปี 1999

การแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก มี 2 แบบ คือ โมโตครอส และ ซุปเปอร์ครอส

1.โมโตครอส มีการทำสนามแข่งขันที่มีความยาวระยะค่อนข้างไกลพอสมควร และเลือกทำสนามบริเวณเนินเขาโดยเฉพาะ และทำการแข่งขันทั้งหมด 15-18 สนาม โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่น คือ

– MXA คือนักแข่งที่ยังไม่เคยได้แชมป์ในรายการโมโตครอสมาก่อน

– MX2 คือนักแข่งที่เคยได้แชมป์ในรายการดมโตครอสมาแล้วแต่ไม่ถึง 2 สมัย

– MXGP หมายถึงนักแข่งที่เคยได้แชมป์ในการแข่งขันโมโตครอสชิงแชมป์โลกมาแล้ว 4 สมัย

2.ซุปเปอร์ครอส มีการทำสนามแข่งขันกันในโรงยิมขนาดใหญ่ ความยาวสนามไม่ไกลมากนักแต่จะแข่งกันหลายรอบ คือ 20-25 รอบสนาม แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ

– 250 SX คือ รถจักยานยนต์วิบากที่มี cc ไม่เกิน 250cc แข่ง 20 รอบ

– 450 SX คือ รถจักรยานยนต์วิบากที่มี cc ไม่เกิน 450cc แข่ง 25 รอบสนาม

ประเภทของมอเตอร์ไซค์วิบากที่ใช้แข่ง Motocross

มอเตอร์ไซค์วิบากจะต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปตรงที่จะสามารถใช้ขี่แบบลุย ๆ เช่น ลุยป่า ขึ้นเขา ลงห้วยได้ และสามารถวิ่งในสภาพถนนที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ ได้สบาย ๆ ลักษณะมอเตอร์ไซค์จะค่อนข้างสูง เพรียว ขับแล้วดูปราดเปรียวว่องไว แต่วันนี้เรามีมอเตอร์ไซค์วิบากมา 3 รุ่นให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกัน

1.Motocross มอเตอร์ไซค์วิบากเน้นใช้แข่งจริง

มอเตอร์ไซค์วิบากที่เราเห็นในสนามแข่งโมโตครอสนั้น จะมีลักษณะเล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ สามารถใช้ขับขี่ในสถานที่โหด ๆ เช่น ไต่เขา ลุยโคลน ลงห้วย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถถึงจุดหมายได้ไว เพราะว่ารถมีความคล่องตัวสูงและมีพละกำลังเพียงพอ

ตัวรถประเภทนี้จะตัดระบบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว บางคันก็อาจจะตัดมาตรวัดความเร็วออกไปด้วย เพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาที่สุด เพราะใช้เน้นแข่งในสนามแข่งมากกว่า ส่วนของยางรถก็จะเป็นตุ่มหนาและใหญ่เพื่อยึดเกาะถนนที่เป็นทางฝุ่นดิน เลน หรือทรายได้ดีกว่า

2. Enduro (เอ็นดูโร)

เป็นรถมอเตอร์ไซค์วิบากที่มีความลุยดิบ ๆ แต่มีความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยการเพิ่งระบบไฟเข้ามา เน้นไว้ใช้ในการแข่งขันในป่าที่มีแสงน้อย หรือสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย แตกต่างจากรถประเภทแรกตรงที่มีระบบไฟเข้ามา เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว เป็นต้น และยังมีระบบมาตรวัดเข้ามา แต่ยังคงสไตล์รถวิบากที่พร้อมลุยได้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบา เรียกว่าวิ่งทางฝุ่นก็ได้ วิ่งทางเรียบก็ใช้งานดี

3.Motard (โมตาร์ด)

รถประเภทโมตาร์ดเป็นรูปแบบที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก เน้นขับทางเรียบ รูปทรงสวยงาม ระบบไฟฟ้ามีครบ นิยมนำมาใช้ขับขี่ในถนนปกติในเมือง หรือทางเรียบมากกว่านำออกไปลุยหรือนำไปแข่ง ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมของเหล่านักบิดที่ชอบท่องเที่ยวออกทริปวันหยุด เรียกว่าเป็นรถสายใช้งานสวย ๆ ก็แล้วกัน

อันที่จริงแล้วยังมีรถอีกหลายรูปแบบที่ผลิตออกมาคล้ายกับแนวมอเตอร์ไซค์วิบากอีกหลายแบบ แต่อาจจะไม่สามารถนำมาแข่งขันในโมโตครอสได้แต่จะเน้นความสวยงามและการใช้ขับขี่ทางเรียบซะมากกว่า

กีฬาขี่ม้า การแข่งขันความเร็วที่ต้องร่วมแรงร่วมใจระหว่างคนและสัตว์สี่ขา

เสน่ห์ของกีฬาขี่ม้าเป็นกีฬาที่ต้องใช้ความร่วมมือระหว่างคนและสัตว์ เป็นกีฬาที่ต้องใช้ศิลปะ อาศัยความเชื่อใจในกันและกันเป็นอย่างมาก ต่างจากกีฬาที่ใช้ความเร็วแบบอื่น เช่น การแข่งรถ ที่คนสามารถควบคุมทิศทางได้ด้วยเครื่องยนต์ แต่กีฬาขี่ม้านั้น คนจะต้องควบคุมม้าให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ได้

การขี่ม้าถือเป็นกีฬาที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน ในอดีตทางการทหารจะใช้ม้าเป็นพาหนะในการรบ การแข่งม้าได้รับการบรรจุให้เป็นกีฬาในการแข่งขันโอลิมปิกตั้งแต่ปี ค.ศ. 1956 ที่กรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน ซึ่งขณะนั้นประเทศออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิก แต่ประเทศเจ้าภาพกลับมีความเข้มงวดมากเกี่ยวกับกฎหมายที่จะนำม้าเข้าประเทศและมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมาก ดังนั้นเพื่อตัดความวุ่นวาย ออสเตรเลียจึงตัดสินใจให้เมืองสต็อกโฮล์มเป็นสถานที่แข่งขันกีฬาแข่งม้า ส่วนกีฬาประเภทอื่นก็จัดแข่งขันที่เมลเบิร์นตามเดิม

รู้ไหมว่ากีฬาขี่ม้ามีกี่ประเภทและมีอะไรบ้าง

การแข่งขันจะมีทั้ง 6 ประเภท ได้แก่

1.ศิลปะการบังคับม้า (Dressage)

2.กระโดดข้ามเครื่องกีดขวาง (Show Jumping)

3.อีเว้นติ้ง (Eventing) ยังแบ่งออกเป็น 4 phase คือ

– Phase A : Roads and Tracks

-Phase B : Steeplechase

-Phase C : Roads and Tracks ครั้งที่ 2

-Phase D : ข้ามภูมิประเทศ

4.รถม้า (Driving)

5.ยิมนาสติกบนหลังม้า (Vaulting)

6.การขี่ม้าวิบาก (Endurance)

กีฬาขี่ม้านั้นไม่จำกัดทั้งอายุและเพศ เน้นความเท่าเทียมกันทั้งชาย-หญิง หากนักกีฬามีร่างกายแข็งแรง สามารถแข่งได้จนถึงอายุมาก ๆ ดังเช่น ในลอนดอนเกมส์ มีนักกีฬาขี่ม้าที่มีอายุมากที่สุดด้วยวัย 71 ปี ชาวญี่ปุ่น นอกจากนี้ม้ายังเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่ได้รับการนำมาแข่งขันในโอลิมปิกเกมส์ และได้รับการให้เกียรติเสมือนเป็นนักกีฬาเลยทีเดียว โดยมีการประกาศชื่อเช่นเดียวกันกับผู้ขี่ม้า และมีการมอบรางวัลให้กับม้าด้วย

อยากเป็นนักกีฬาขี่ม้าต้องเตรียมพร้อมอย่างไรบ้าง

สำหรับคนที่อยากขี่ม้า หรืออยากเป็นนักกีฬาขี่ม้า การเตรียมพร้อมนั้นสำคัญมาก ก่อนอื่นคือคุณจะต้องรักม้าก่อน เพราะการขี่ม้าคือการใช้ใจประสานใจ ถ้าเกิดความกลัวก็คงจะขี่ม้าไม่ได้แน่ ๆ

จากนั้นก็คือการเตรียมอุปกรณ์ในการขี่ม้าที่จำเป็น นั้นก็คือเสื้อผ้าที่ควรสวมแบบมิดชิดและทะมัดทะแมงและเครื่องป้องกันการบาดเจ็บที่อาจจะเกิดขึ้นในระหว่างการขี่ม้าได้ ซึ่งอุบัติเหตุที่เกิดจากการขี่ม้าที่เกิดได้บ่อย ๆ และอาจจะทำให้บาดเจ็บได้ 3 ลำดับแรกก็คือ ศีรษะ หลัง และไหล่ ระดับความรุนแรงของอาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ก็คือการฟกช้ำจากการกระแทกเวลาตกลงมา แต่บางครั้งก็อาจจะทำให้ถึงขั้นกระดูกหักได้เลยทีเดียว

ดังนั้นอุปกรณ์ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ หมวกสำหรับขี่ม้า ที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อป้องกันแรงกระแทกที่อาจจะเกิดกับศีรษะได้ขณะเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด รองลงมาคือรองเท้าขี่ม้า ซึ่งเป็นแบบรองเท้าบูท ถ้าเป็นรองเท้าบูทยาวก็จะสามารถป้องกันอาการบากเจ็บในส่วนกระดูกแข้งได้

เมื่ออุปกรณ์พร้อมและกายใจพร้อม ก็ควรหาที่เรียนขี่ม้าโดยมีผู้ฝึกสอนที่มีประสบการณ์คอยสอนอย่างใกล้ชิด ผู้เรียนเองก็ควรอดทนและมีวินัยฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอ แล้วคุณก็จะเป็นนักขี่ม้าที่ดีและเก่งขึ้นได้ในที่สุด

Top 5 สนามแข่งขันกีฬาที่ดังที่สุดในโลก

เราขอเอาใจคนรักกีฬา ด้วยการหาสนามกีฬาที่ติดอันดับ Top 5 ที่ดังที่สุดในโลก จากประเทศต่าง ๆ มาดูกันว่า คุณจะรู้จักกับสนามกีฬาเหล่านี้ดีหรือเปล่า

อันดับที่ 1 สนาม Circuit de Monaco ประเทศ โมนาโก

สนามแข่งรถรายการ Formula 1 ที่โด่งดังที่สุดในโลกและยังได้รับการโหวตว่าเป็นสนามแข่งรถที่สวยงามมากที่สุดอีกด้วย แท้จริงแล้วเกิดจากการกั้นถนนในเมืองมอนติคาร์โล และ ลากอนดาไม ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญของโมนาโก หรือเรียกว่าเป็น Street Circuit อาจจะเรียกสั้น ๆ ว่า สนามมอนติคาร์โล สนามนี้มีความยาว 3.34 กิโลเมตร ทัศนียภาพสองข้างทางนั้นสวยงาม เพราะสามารถมองเห็นท่าเรือที่มีเรือยอร์ชจอดเทียบท่าอย่างสวยงาม ตัวเมืองล้อมรอบไปด้วยทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แถมลักษณะทางภูมิประเทศยังอยู่บริเวณตีนเขาแอลป์ที่สวยงามที่สุดโลกอีกด้วย สนามนี้จึงเป็นที่ใฝ่ฝันของนักแข่งรถรวมถึงผู้คนและนักท่องเที่ยวมากมายที่อยากจะมาเยือน และสถิติที่ดีที่สุดในการเหยียบคันเร่งบนสนามนี้คือ 1 นาที 14.439 วินาที เจ้าของสถิติไม่ใช่ใครที่ไหน มิชาเอล ชูมัคเกอร์ นั่นเอง สถานที่เสียงเครื่องยนต์แข่งกันคำรามตลอดปีนี้ได้รับการซูฮกว่าเป็นสนามแข่งที่ขับยากและอันตรายมากที่สุดในโลก

อันดับที่ 2 สนาม Soccer City Stadium, Johannesburg ประเทศแอฟริกาใต้

สนามฟุตบอลที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกในปี 2010  มีการออกแบบร่วมกันระหว่างบริษัท Boogertman & Partners และ บริษัท Populous จนได้รับรางวัลการออกแบบโครงสร้างยอดเยี่ยมจาก Leading European Architects Forum หรือ LEAF Awards 2010 สนามนี้สามารถจุผู้ชมได้ถึง 94,700 คน ความโด่งดังเริ่มจากการเปิดใช้สนามในนัดเปิดสนามและนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 นั่นเอง

อันดับที่ 3 Wembley Stadium, กรุง London ประเทศอังกฤษ

สนามฟุตบอลที่คลาสสิกที่สุดสนามหนึ่ง ด้วยหอคอยคู่อันโด่งดังและการที่มันเป็นสนามเหย้าของทีมชาติอังกฤษ บนผืนแผ่นดินอังกฤษ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าเป็น “Home of Football” สนามแห่งนี้ได้รับการโหวตให้เป็นสนามฟุตบอลที่คุณต้องไปเยือนสักครั้งให้ได้ชีวิต แต่ชาตินี้คงหมดโอกาสแล้วเนื่องจากสนามเวมบลีย์ถูกทุบทิ้งและสร้างสนามใหม่ทับลงไปบนสนามเดิม ในชื่อว่า New Wembley แต่สนามนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำของคอฟุตบอลทั่วโลกตลอดกาล

อันดับที่ 4 Yankee Stadium, New York ประเทศสหรัฐอเมริกา

สนามของทีมเบสบอลที่ดังที่สุดในประวัติศาสตร์ อยู่ใน Concourse, บรองซ์ แห่งมหานครนิวยอร์ค เป็นสนามหลักเจ้าบ้านของทีมนิวยอร์ค แยงกีส์ซึ่งเป็นทีมในเมอเจอร์ลีก สร้างด้วยงบประมาณมหาศาลที่มีมูลค่าถึง 2.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ฯ เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 1923 และเมื่อปลายปี 2009 เพิ่งมีการปรับปรุงภายในตัวสนามเสียใหม่แต่ยังคงรูปแบบเปลือกอาคารไว้คงเดิมเพื่อความคลาสสิก ทำให้สนามแห่งนี้ทั้งทันสมัยและเข้มขลังด้วยมนต์สะกดแห่งกีฬาที่ชาวอเมริกันคลั่งไคล้

อันดับที่ 5 สนาม Beijing National Stadium, Beijing ประเทศจีน

สนามกีฬาที่มีการออกแบบให้คล้ายกับรังนก ผลงานการออกแบบของสถาปนิกชื่อก้องโลกอย่าง Herzog & De Meuron ร่วมกับสถาบันออกแบบสถาปัตยกรรมจีน โดยมีอ้าย เหว่ย เหว่ย ศิลปินร่วมสมัยชาวจีนเป็นคนให้คำปรึกษาในการออกแบบ ได้เป็นอาคารสนามกีฬาสำหรับการแข่งขันโอลิมปิกปี 2008 ที่ประเทศจีน และกลายมาเป็นสนามกีฬาที่โด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในทันที ด้วยลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่สวยงามโดดเด่นสะดุดตา

เป็นอย่างไรกันบ้างกับที่สุด Top 5 ของสนามกีฬาที่แต่ละประเทศได้ทุ่มเทสร้างขึ้นมาจนโด่งดังเป็นเอกลักษณ์ไปทั่วโลก ยิ่งแสดงให้เห็นว่าแต่ละประเทศในโลกนี้ล้วนให้ความสำคัญกับทุกองค์ประกอบของการแข่งขันกีฬาเป็นอย่างมากเลยทีเดียว

นักแข่ง Formula 1 หญิงคนแรก “มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลิปปิส” หญิงแกร่งแห่งวงการประลองความเร็ว

เรามักจะเห็นนักแข่งรถส่วนใหญ่ต่างก็เป็นผู้ชาย เรียกว่า ผู้ชายกับรถนั้นเป็นของคู่กันเสมอ แน่นอนว่าในวงการนี้ผู้ชายมีความได้เปรียบในเรื่องของสภาพร่างกายและสมรรถภาพที่แข็งแรงกว่าผู้หญิง จึงไม่แปลกใจที่ผู้ชายจะได้ครอบครองดินแดนแห่งความเร็ว

แต่การแข่งขันรถสูตรหนึ่งหรือ ฟอร์มูลาวัน กลับเคยมีหญิงสาวเข้าร่วมการแข่งขันเป็นคนแรก เธอมีชื่อว่า “มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลลิปปิส” หญิงสาวที่รักในความเร็วและกล้าบุกเบิกเข้าไปสู่ดินแดนของชายหนุ่มผู้รักความเร็วที่ขึ้นชื่อว่าเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่เร็วและแรงที่สุดในโลก

มาเรีย ได้ถูกจารึกชื่อว่าเป็นนักแข่งหญิงคนแรกของรายการฟอร์มูลาวัน ในปี 1958 ณ ขณะนั้นเธอมีอายุ 32 ปี  โดยใช้รถมาเซราติ 250F ซึ่งเป็นตำนานของรถฟอร์มูลาวันของมาเซราติเลยทีเดียว แต่กว่าจะมาถึงเส้นทางฟอร์มูลาวันได้ มาเรียก็ต้องผ่านทั้งอุปสรรคและบททดสอบมากมาย โดยเฉพาะการก้าวข้ามขีดจำกัดในเรื่องของความเป็นผู้หญิงนั่นเอง

เส้นทางชีวิตก่อนจะมาเป็นนักแข่งหญิงคนแรกแห่ง F1

มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลลิปปิส เกิดที่เมืองเมเปิลส์ ประเทศอิตาลี เธอมีความหลงใหลในกีฬาความเร็วตั้งแต่ยังเด็ก เรียกว่าอาจจะอยู่สายเลือดเลยก็ว่าได้เพราะคุณพ่อของมาเรียทำงานเป็นวิศวกรรถยนต์ ทำให้ชีวิตวัยเด็กของมาเรียนั้นคุ้นเคยกับกลิ่นของน้ำมันเครื่อง พอ ๆ กับ ที่ได้กลิ่นของน้ำหอม

หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองสงบลงได้ในปี 1948 มาเรียมีอายุได้ 22 ปี และมีโอกาสได้ลงแข่งรถสนามแรก ที่สนาม ซาแลร์โม กาวาเด ตีร์เรนี ในตอนใต้ของอิตาลี ท่ามกลางคำสบประมาทของเหล่าเพศชาย แม้แต่พี่ชายของมาเรียเองถึงขั้นพนันว่าเธอไม่มีทางขับรถแข่งได้แน่นอน แต่ในที่สุดมาเรียก็พิสูจน์ตัวเองได้ด้วยการคว้าชัยชนะในสนามแห่งนั้น ด้วยรถเฟียต 500 และทั้งหมดก็ได้หลายเป็นจุดเริ่มต้นความฝันสู่สนามฟอร์มูลาวันของเธอ

มาเรียได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การแข่งขันรถเรื่อยมา ท่ามกลางสภาวะกดดันต่าง ๆ จากนักแข่งที่เป็นเพศชายทั้งหลาย เธอเคยรู้สึกโดดเดี่ยวแต่ไม่เคยย่อท้อต่ออุปสรรค ครั้งหนึ่งมาเรียได้ประสบอุบัติเหตุจากการแข่งขันจนทำให้หูซ้ายของเธอสูญเสียการได้ยิน แต่เธอกลับไม่เกรงกลัวและยังพัฒนาฝีมือขึ้นมาเรื่อย ๆ

ความฝันของนักแข่งหญิงแกร่งคนนี้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น เมื่อผลงานการขับของมาเรียไปเข้าตาทีมมาเซราติอย่างจัง หลังจากที่มาเรียแข่งในรายการ อิตาเลีย สปอร์ต คาร์ แชมเปี้ยนชิพ ที่มาเรียใช้รถยูเรเนีย-บีเอ็มดับเบิ้ลยู ขับจนเข้าเป็นอันดับที่สองสำเร็จ

ปี 1955 มาเรียได้เข้าร่วมทีม มาเซราติ อย่างเป็นทางการ รถที่เธอขับก็คือ Maserati A6 จนกระทั่งในวันที่ 18 พฤษภาคม 1958 เธอก็ได้สร้างตำนานผู้หญิงคนแรกที่แข่งขันรายการฟอร์มูลาวัน โดยใช้รถ Maserati 250F ลงแข่งในรายการ โมนาโก กรังด์ ปรีซ์โดยเข้ารอบควอลิฟายเป็นอันดับที่ 16

มาเรียได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยการเข้ารอบควอลิฟายเป็นอันดับที่ 10 ในรายการ เบลเจี้ยน กรังด์ ปรีซ์ ประเทศเบลเยียม นับเป็นอันดับที่ดีที่สุดในอาชีพนักแข่งฟอร์มูลาวัน

สุดท้ายแล้วปี 2016 มาเรีย เทเรซ่า เด ฟิลลิปปิส หญิงแกร่งนักแข่งรถได้ลาจากโลกนี้ไปแล้วด้วยวัย 89 ปี แต่เธอก็จะยังถูกจดจำไว้ในประวัติศาสตร์โลก และวงการแข่งขันรถยนต์ฟอร์มูลาวันไว้ตลอดไปว่าความสามารถของเธอนั้นไม่น้อยไปกว่าใคร