รู้หรือไม่ว่าMotocross มาจากคำว่า Motorcycle และ Cross Country รวมกัน จึงกลายมาเป็น มอเตอร์ไซค์วิบาก หรือ โมโตครอส (Motocross) ซึ่งเป็นกีฬาประเภทหนึ่งที่มีต้นกำเนิดจากฝรั่งเศส แต่ได้รับความนิยมมากที่ประเทศอังกฤษ
โมโตครอส เกิดมาจากการทดลองโดยใช้รถจักรยานยนต์ทำกิจกรรมในรูปแบบลุย ๆ ซึ่งได้รับความนิยมมากในอังกฤษตอนเหนือ ในช่วงปี 1924-1930 หลังจากนั้นก็ได้กลายมาเป็นกีฬา โดยมีการเรียกชื่อหลายรูปแบบเช่น MX หรือ MotoX จนมีการจัดการแข่งขันโมโตครอสขึ้นในระดับนานาชาติ ตั้งแต่ปี 1999
การแข่งขันมอเตอร์ไซค์วิบาก มี 2 แบบ คือ โมโตครอส และ ซุปเปอร์ครอส
1.โมโตครอส มีการทำสนามแข่งขันที่มีความยาวระยะค่อนข้างไกลพอสมควร และเลือกทำสนามบริเวณเนินเขาโดยเฉพาะ และทำการแข่งขันทั้งหมด 15-18 สนาม โดยแบ่งออกเป็น 3 รุ่น คือ
– MXA คือนักแข่งที่ยังไม่เคยได้แชมป์ในรายการโมโตครอสมาก่อน
– MX2 คือนักแข่งที่เคยได้แชมป์ในรายการดมโตครอสมาแล้วแต่ไม่ถึง 2 สมัย
– MXGP หมายถึงนักแข่งที่เคยได้แชมป์ในการแข่งขันโมโตครอสชิงแชมป์โลกมาแล้ว 4 สมัย
2.ซุปเปอร์ครอส มีการทำสนามแข่งขันกันในโรงยิมขนาดใหญ่ ความยาวสนามไม่ไกลมากนักแต่จะแข่งกันหลายรอบ คือ 20-25 รอบสนาม แบ่งออกเป็น 2 รุ่น คือ
– 250 SX คือ รถจักยานยนต์วิบากที่มี cc ไม่เกิน 250cc แข่ง 20 รอบ
– 450 SX คือ รถจักรยานยนต์วิบากที่มี cc ไม่เกิน 450cc แข่ง 25 รอบสนาม
ประเภทของมอเตอร์ไซค์วิบากที่ใช้แข่ง Motocross
มอเตอร์ไซค์วิบากจะต่างจากรถมอเตอร์ไซค์ทั่วไปตรงที่จะสามารถใช้ขี่แบบลุย ๆ เช่น ลุยป่า ขึ้นเขา ลงห้วยได้ และสามารถวิ่งในสภาพถนนที่เต็มไปด้วยอุปสรรคต่าง ๆ ได้สบาย ๆ ลักษณะมอเตอร์ไซค์จะค่อนข้างสูง เพรียว ขับแล้วดูปราดเปรียวว่องไว แต่วันนี้เรามีมอเตอร์ไซค์วิบากมา 3 รุ่นให้ผู้อ่านได้ทำความรู้จักกัน
1.Motocross มอเตอร์ไซค์วิบากเน้นใช้แข่งจริง
มอเตอร์ไซค์วิบากที่เราเห็นในสนามแข่งโมโตครอสนั้น จะมีลักษณะเล็ก กะทัดรัด น้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อการแข่งขันโดยเฉพาะ สามารถใช้ขับขี่ในสถานที่โหด ๆ เช่น ไต่เขา ลุยโคลน ลงห้วย เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถถึงจุดหมายได้ไว เพราะว่ารถมีความคล่องตัวสูงและมีพละกำลังเพียงพอ
ตัวรถประเภทนี้จะตัดระบบที่ไม่จำเป็นออกไป เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว บางคันก็อาจจะตัดมาตรวัดความเร็วออกไปด้วย เพื่อให้รถมีน้ำหนักเบาที่สุด เพราะใช้เน้นแข่งในสนามแข่งมากกว่า ส่วนของยางรถก็จะเป็นตุ่มหนาและใหญ่เพื่อยึดเกาะถนนที่เป็นทางฝุ่นดิน เลน หรือทรายได้ดีกว่า
2. Enduro (เอ็นดูโร)
เป็นรถมอเตอร์ไซค์วิบากที่มีความลุยดิบ ๆ แต่มีความสะดวกสบายในการใช้งานด้วยการเพิ่งระบบไฟเข้ามา เน้นไว้ใช้ในการแข่งขันในป่าที่มีแสงน้อย หรือสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย แตกต่างจากรถประเภทแรกตรงที่มีระบบไฟเข้ามา เช่น ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟเลี้ยว เป็นต้น และยังมีระบบมาตรวัดเข้ามา แต่ยังคงสไตล์รถวิบากที่พร้อมลุยได้ ตัวรถยังมีน้ำหนักที่เบา เรียกว่าวิ่งทางฝุ่นก็ได้ วิ่งทางเรียบก็ใช้งานดี
3.Motard (โมตาร์ด)
รถประเภทโมตาร์ดเป็นรูปแบบที่เน้นความสะดวกสบายมากขึ้นไปอีก เน้นขับทางเรียบ รูปทรงสวยงาม ระบบไฟฟ้ามีครบ นิยมนำมาใช้ขับขี่ในถนนปกติในเมือง หรือทางเรียบมากกว่านำออกไปลุยหรือนำไปแข่ง ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมของเหล่านักบิดที่ชอบท่องเที่ยวออกทริปวันหยุด เรียกว่าเป็นรถสายใช้งานสวย ๆ ก็แล้วกัน
อันที่จริงแล้วยังมีรถอีกหลายรูปแบบที่ผลิตออกมาคล้ายกับแนวมอเตอร์ไซค์วิบากอีกหลายแบบ แต่อาจจะไม่สามารถนำมาแข่งขันในโมโตครอสได้แต่จะเน้นความสวยงามและการใช้ขับขี่ทางเรียบซะมากกว่า