ใคร ๆ ก็ไปไอซ์แลนด์ ว่าแต่…จะไปช่วงไหนดีนะ?

5 ปีที่ผ่านมานี้ ประเทศไอซ์แลนด์เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยที่หลงรักการเดินทางท่องเที่ยวสายธรรมชาติ เพราะธรรมชาติของไอซ์แลนด์นั้นมีเสน่ห์แตกต่างจากที่อื่น ๆ ในโลก แต่จะเลือกไปเที่ยวในช่วงฤดูไหนดี เรามาลองดูเสน่ห์ของไอซ์แลนด์ในแต่ละช่วงกันดีกว่า

  • ฤดูร้อน(มิถุนายนสิงหาคม เป็นช่วงที่คึกคักที่สุด และแน่นอนว่าเป็นช่วงที่ค่าครองชีพสูงสุดเช่นกัน เสน่ห์ของฤดูนี้คือพระอาทิตย์เที่ยงคืน โดยพระอาทิตย์จะตกช่วงห้าทุ่ม และยังไม่ทันมืดสนิทดีในช่วงตีสอง พระอาทิตย์ดวงเดิมก็จะขึ้นมาอีกครั้ง จึงสามารถท่องเที่ยวได้แทบจะ 24 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าคุ้มค่ากับการท่องเที่ยว สำหรับสภาพอากาศตอนกลางวันอุณหภูมิราว ๆ 24 องศาเซลเซียส คุณจะได้พบกับความเขียวชอุ่มของพืชพันธุ์คลุมดิน ทั้งต้นหญ้าและดอกไม้หลากสีสัน ส่วนต้นไม้ใหญ่ในประเทศพบได้ไม่มากนัก เนื่องจากสภาพดินเป็นดินภูเขาไฟเสียส่วนมาก ในช่วงนี้ถนนทุกสายจะเปิดรับผู้มาเยือน นักท่องเที่ยวสายผจญภัยมักจะนิยมเช่ารถ 4×4 เพื่อมุ่งหน้าสู่ใจกลางเกาะ ที่ซึ่งมีธรรมชาติสวยงามแปลกตาซ่อนอยู่

 

  • ฤดูใบไม้ร่วง(กันยายนพฤศจิกายน) เสน่ห์ของฤดูนี้อยู่ที่ความคุ้มค่าของงบประมาณในการท่องเที่ยว เพราะเป็นช่วงที่อากาศเริ่มหนาวและแห้ง ถ้ามาเที่ยวช่วงต้นฤดู คุณจะยังได้เห็นหญ้าสีเขียวที่หลงเหลือจากฤดูร้อน จากนั้นหญ้าเริ่มค่อย ๆ ทยอยเปลี่ยนจากสีเขียวสดเป็นสีเหลือง สภาพอากาศตอนกลางวันอุณหภูมิราว 12 องศาเซลเซียส พบได้ทั้งลมและฝน แต่เนื่องจากมีช่วงกลางคืนที่ยาวนานขึ้น  ถ้าโชคดีในวันฟ้าเปิดคุณอาจจะมีโอกาสได้พบกับแสงเหนือที่พาดผ่านบนท้องฟ้ายามค่ำคืน ในช่วงนี้ถนนบางสายจะไม่ให้ผ่าน เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว แต่สถานที่ท่องเที่ยวเด่น ๆ บนถนนสายหลักรอบเกาะยังคงสามารถเที่ยวได้ปกติ

 

  • ฤดูหนาว(ธันวาคมมีนาคม) ช่วงนี้นักท่องเที่ยวจะลดน้อยลง เนื่องจากสภาพอากาศในช่วงนี้ไม่ค่อยดีนัก มีโอกาสเกิดพายุหิมะที่ทำให้คุณต้องซุกตัวอยู่แต่ในที่พัก จึงควรเผื่อเวลาท่องเที่ยวไว้หลาย ๆ วัน  ช่วงเวลากลางวันจะเหลือเพียง 5 ชั่วโมงโดยประมาณ เพราะฉะนั้นต้องอาศัยความระมัดระวังเป็นอย่างมากในการท่องเที่ยวท่ามกลางทัศนวิสัยที่ไม่ดีนัก แต่เมื่อใดที่ฟ้าสว่าง คุณจะได้พบกับทัศนียภาพอันงดงามของหิมะสีขาวที่ตัดกับถนนสีดำ เสน่ห์ของฤดูนี้ คือ โอกาสที่จะได้ท่องเที่ยว ได้ทำกิจกรรมในสถานที่ต่าง ๆ ที่ฤดูอื่นไม่มี อาทิ เดินชมถ้ำน้ำแข็ง เดินสำรวจธารน้ำแข็ง (กับผู้เชี่ยวชาญ) เล่นกีฬาฤดูหนาว และทำกิจกรรมที่นิยมทำกันเป็นอย่างมากคือการออก “ล่าแสงเหนือ” ซึ่งคุณต้องขับรถออกตามหาจุดที่ฟ้าปลอดโปร่ง จึงจะมีโอกาสได้เห็น

 

  • ฤดูใบไม้ผลิ(เมษายนพฤษภาคม) หลังจากฤดูหนาวอันแสนน่าเบื่อสำหรับชาวไอซ์แลนด์จบลง ช่วงนี้ความมีชีวิตชีวาเริ่มกลับมา น้ำแข็งเริ่มละลายกลายเป็นน้ำตกและลำธาร หญ้าเริ่มกลายเป็นสีเขียว ดอกไม้ป่าเริ่มผลิบาน อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 9 องศาเซลเซียส และยังคงสามารถทำกิจกรรมล่าแสงเหนือได้บ้าง เสน่ห์ของฤดูนี้คือการชมวาฬ และนกพัฟฟินที่เพิ่งอพยพกลับมาอาศัยอยู่ตามหน้าผาเพื่อทำรังเตรียมต้อนรับฤดูร้อนที่กำลังจะมาถึงการท่องเที่ยวในประเทศไอซ์แลนด์ หลัก ๆ คือการขับรถออกนอกเมืองไปตามถนนสายที่ 1 รอบเกาะ ซึ่งจะมีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายให้แวะชมในระหว่างทาง หากเราเตรียมตัวหาข้อมูลไว้ล่วงหน้าจะทำให้สามารถจัดทริปท่องเที่ยวได้อย่างเหมาะสม และได้พบกับประสบการณ์ที่น่าประทับใจ

 

ดื่มด่ำกับบรรยากาศแห่งความสุขที่ “ตลาดคริสต์มาส” ในยุโรป

เทศกาลคริสต์มาส เป็นเทศกาลแห่งความสุข ที่เหล่าคริสต์ศาสนิกชนและผู้คนนับล้านรอคอยที่จะเฉลิมฉลอง ภาพแห่งความสุขที่แวดล้อมด้วยคนรักและครอบครัว บรรยากาศที่สวยงามอบอุ่นหัวใจ มีทั้งหิมะโปรยปราย ไฟประดับประดาสวยงาม มื้อค่ำพร้อมหน้าพร้อมตา ต้นคริสต์มาส และของขวัญ

สิ่งเหล่านี้คือสิงที่พวกเราคุ้นชินจากการชมภาพยนตร์ต่างประเทศ แต่ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่ไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เห็นผ่านภาพยนตร์ นั่นก็คือ “ตลาดคริสต์มาส” แหล่งซื้อ-ขายความสุข ที่จะมีแต่เฉพาะในช่วงเทศกาลคริสมาสเท่านั้น

  • บรรยากาศแห่ง ความสุข เมื่อได้ไปยืนท่ามกลางตลาดคริสต์มาส และหันมองไปรอบตัว ทั้งไฟที่ประดับประดาตกแต่ง มุมถ่ายรูปสวย ๆ เสียงเพลง เสียงหัวเราะของคนรอบข้าง จะไม่ทำให้รู้สึกเหงาสักวินาที รับรองว่าแค่ยืนนิ่ง ๆ ก็สามารถที่จะรับรู้ถึงพลังแห่งความสุขได้ เสมือนได้ชาร์จพลังบวกหลังจากที่ทำงานเคร่งเครียดเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งปี
  • เพลิดเพลินกับการ ช็อปปิ้ง เพราะที่นี่คือแหล่งรวมของขวัญ ของตกแต่ง ของฝาก ของที่ระลึก ซึ่งโดยมากเป็นของทำมือหายากและเป็นเอกลักษณ์จากคนในท้องถิ่น ตลาดคริสต์มาสในแต่ละที่จะมีสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันไป คุณสามารถหาของฝากที่ถูกใจผู้รับได้ที่นี่ และไม่แน่ว่าสิ่งที่คุณต้องตาต้องใจจนอดไม่ได้ที่จะซื้อ อาจจะมีเพียงชิ้นเดียวในโลกก็ได้
  • อาหารหลากหลาย เลิศรส อีกหนึ่งไฮไลต์ของตลาดคริสต์มาส คือ อาหารและเครื่องดื่มแสนอร่อย ที่เป็นเอกลักษณ์และถูกคัดสรรมาแล้วจากคนในท้องถิ่น ที่สำคัญคือมีให้เลือกลิ้มชิมรสอย่างหลากหลายในราคาที่รับได้ เมื่อซื้อเสร็จแล้วจะนั่งรับประทานในร้าน หรือหามุมยืนรับประทานชมบรรยากาศแบบเพลิน ๆ ก็ไม่มีใครว่า เพียงแต่เมื่อทานเสร็จแล้วก็อย่าลืมจัดการเก็บและทิ้งให้เรียร้อย ตามธรรมเนียมปฏิบัติของผู้มาเยือนที่ดี
  • กิจกรรมและความบันเทิง ตลาดคริสต์มาสในแต่ละที่ จะมีกิจกรรมและความบันเทิงที่แตกต่างกันออกไป ตามปริมาณผู้คนและขนาดของสถานที่จัดงาน ตลาดคริสต์มาสหลายแห่งที่ถูกจัดขึ้นในลานกว้างใจกลางเมืองมักจะมีเครื่องเล่นต่าง ๆ หรือลานสเก็ตน้ำแข็งกลางแจ้งให้ได้โลดแล่นโชว์ลีลาที่พริ้วไหว บ้างก็มีขบวนพาเหรด คอนเสิร์ตที่คอยสร้างบรรยากาศให้คึกคักเป็นกันเอง การแสดงดนตรีโชว์เสียงอันไพเราะของนักร้องประสานเสียง งานศิลปะ อาทิ ประติมากรรมน้ำแข็ง ให้ได้เดินชมอย่างเพลิดเพลิน

ใครที่กำลังจัดทริปท่องเที่ยวยุโรปในช่วงปลายปี ถ้ามีโอกาสไม่ควรพลาดอย่างยิ่ง เพราะที่ยุโรปนั้นมีตลาดคริสต์มาสที่มีชื่อเสียงและสวยงามมากมายหลายแห่ง ลองจัดสรรเวลาไปเยือน “ตลาดคริสต์มาส” ดูสักครั้ง รับรองว่าจะได้รับความประทับใจอย่างแน่นอน

 

เที่ยวอุทยานแห่งชาติใครว่าจะไปแต่ป่า….เกาะกลางน้ำทะเลสีฟ้าก็มีนะเธอ

เมื่อพูดถึงการท่องเที่ยวในอุทยานแห่งชาติ หรือเขตอนุรักษ์ฯหลายคนคงนึกถึงการเที่ยวตามป่าเขา ลำเนาไพร หรือไม่ก็น้ำตก หากแต่จริง ๆ แล้วเขตอนุรักษ์ทางธรรมชาติ เกาะก็เป็นหนึ่งในนั้น ส่งผลให้ระบบนิเวศของเกาะยังคงไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ที่สวยงาม ธรรมชาติที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบนิเวศเกาะยังคงสมดุล และดำเนินไปอย่างที่ควรจะเป็น โดยเกาะบางแห่งที่อยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติหรือเขตอนุรักษ์ฯ จะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือสัญญาณอินเตอร์เน็ต ซึ่งนั่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่น่าหลงใหลของหมู่นักท่องเที่ยว ที่ต้องการพาร่างกายมารับกลิ่นอายธรรมชาติของเกาะกลางทะเลอย่างแท้จริง เกาะที่น่าสนใจเหล่านี้มีไม่น้อย อาทิ

เกาะตาชัย

เกาะตาชัยเป็นส่วนหนึ่งในหมู่เกาะสิมิลัน หรืออุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน บนเกาะจะเป็นธรรมชาติมาก ๆ ไม่มีโรงแรม ไม่มีของขาย และไม่สัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้นทุกคนที่มาเที่ยวต้องมาแบบเช้าไปเย็นกลับ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกาะตาชัยยังคงอุดมสมบูรณ์มากทั้งน้ำทะเลสีฟ้าใสราวกับกระจก มีคลื่นขนาดย่อมซัดเข้าสู่ฝั่งที่เป็นหาดทรายสีขาวสว่างเนื้อเนียนละเอียด ยาวจรดป่าที่เขียวชอุ่มตามแนวชายหาดและภูเขา บริเวณแนวชายหาดมีกลุ่มโขดหินน้อยใหญ่ตามธรรมชาติที่สามารถพบฝูงปูชนิดต่าง ๆ ได้ ด้านบนเกาะยังมีจุดชมวิวซึ่งจะมองเห็นทะเลสีฟ้าใสที่ทอดตัวยาวออกไปไกลจนจรดกับท้องฟ้าคราม บริเวณนี่จะเป็นจุดถ่ายรูปที่นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปเก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกอีกจุดหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีเส้นธรรมชาติที่ใช้ศึกษาระบบนิเวศ และสิ่งมีชีวิตที่อาศัยบนเกาะตามธรรมชาติ ซึ่งหากมีข้อสงสัยใด ๆ บนเกาะจะมีเจ้าหน้าที่อุทยานประจำเกาะอยู่เพื่อดูแล และให้คำแนะนำสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมเกาะอีกด้วย

เกาะกำตก

เกาะกำตกหรือเกาะอ่าวเขาควาย อยู่ในการดูแลของอุทยานแห่งชาติแหลมสน จังหวัดระนอง ชายหาดของเกาะดำตกจะมีลักษณะโค้งคล้ายลักษณะของเขาควาย บนเกาะไม่มีร้านค้า สถานบันเทิง เงียบสงบจึงมักมีนักท่องเที่ยวที่ต้องการความสงบเพื่อพักผ่อนมานอนรับลมทะเล ฟังเสียงคลื่นกระทบหาดทราย มองดูท้องฟ้าสีครามกระจ่าง และน้ำทะเลสีฟ้าใส ด้านบนเกาะจะมีจุดชมวิวซึ่งทางขึ้นเป็นเส้นทางค่อนข้างชัน วิวด้านบนจะเห็นอ่าวที่โค้งเข้าหากันเป็นรูปลักษณะคล้ายเขาควายอันสวยงามแปลกตาอย่างชัดเจน หากใครสนใจมาเที่ยวที่เกาะกำตกนั้นเกาะจะเปิดให้เข้าชมในช่วงเดือน พ.ค – ต.ค หรือตามประกาศของอุทยาน

ในช่วงเวลาที่ได้หยุดพักจากหน้าที่การงานอันเร่งรีบ วิถีชีวิตที่วุ่นวาย การหาสถานที่เงียบสงบมาพักผ่อนเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับร่างกายอันอ่อนล้า การลองมาติดเกาะเหล่านี้สัก 2- 3 ชั่วโมง ปล่อยใจไปกับสายลม แสงแดด และน้ำทะเลก็จะสดชื่นขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

 

พาตะลุยเที่ยวถ้ำไทย…. ณ ถ้ำแห่งไหนเปิดให้บริการทุกวันตลอดทั้งปี

                ถ้ำเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่น่าสนใจ ด้วยระบบนิเวศที่แตกต่างจากการท่องเที่ยวในแหล่งธรรมชาติแบบอื่น หรือด้วยบรรยากาศแวดล้อมของถ้ำที่ให้อารมณ์ลึกลับ ท้าทาย และน่าค้นหา เป็นเสน่ห์ดึงดูดให้เหล่านักท่องเที่ยวที่ชื่นชอบความแตกต่างที่แปลกใหม่ หรือนักท่องเที่ยวสายลุยผู้รักการผจญภัยให้ชอบมาเที่ยวกัน ถ้ำหลายแห่งในไทยมักจะมีช่วงระยะเวลาปิดถ้ำในทุกปี เพื่อฟื้นฟูธรรมชาติภายในและปกป้องอันตรายจากธรรมชาติที่อาจเกิดแก่นักท่องเที่ยว แต่ก็มีถ้ำอีกไม่น้อยที่ทางกรมอุทยานฯ หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลในบริเวณพื้นที่นั้น อนุญาตเปิดให้เข้าชมได้ทุกวันตลอดทั้งปี โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมาเที่ยวผิดช่วงเวลา ทำให้ส่งผลต่อความปลอดภัย ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายแห่ง อาทิ

ถ้ำพระยานคร

ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด การจะเข้าไปภายในถ้ำจะต้องเดินเท้าขึ้นไปบนภูเขาซึ่งจะเต็มไปด้วยธรรมชาติที่ค่อนข้างสมบูรณ์ เมื่อมาถึงภายในถ้ำจะพบว่าถ้ำพระยานครเป็นถ้ำขนาดใหญ่ซึ่งภายในจะมี 3 คูหา มีพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ที่ถูกสร้างเกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 คราวเสด็จประพาสถ้ำ ด้านข้างและด้านบนเพดานถ้ำมีหินงอกหินย้อยเป็นรูปร่างต่าง ๆ อันสวยงาม บางช่วงบนเพดานถ้ำจะมีปล่องขนาดใหญ่ ที่เปิดออกให้แสงสว่างจากภายนอกสาดลำแสงเข้ามาตกกระทบตัวพระที่นั่งคูหาคฤหาสน์ขนาดย่อม ซึ่งตั้งไว้บนเนินดินกลางถ้ำ ที่แวดล้อมไปด้วยต้นไม้สูงหลายสิบต้น คล้ายป่าขนาดเล็กบริเวณพื้นถ้ำด้านล่าง จนดูปลั่งประกายเรืองรอง เกิดเป็นภาพสวยงามจับตาจากการรังสรรค์ร่วมกันของธรรมชาติและมนุษย์

ถ้ำลอด ปางมะผ้า

อยู่ในความดูแลของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าลุ่มแม่น้ำปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ถ้ำลอดปางมะผ้าจะมีลำห้วยไหลลอดจากปากทางเข้าหน้าถ้ำ ไหลทะลุไปยังอีกด้านหนึ่งของถ้ำ นักท่องเที่ยวจึงนิยมล่องตามลำห้วยตื้น ๆ เข้าไปชมภายในถ้ำด้วยการนั่งแพที่ทำจากไม้ไผ่ต่อกัน จนมีขนาดยาวและแคบ หัวท้ายแพจะมีคนค่อยถ่อแพให้ล่องไปตามลำน้ำเข้าไปภายใน แสงตะเกียงบนแพที่ใช้นำทางจะเป็นแหล่งกำเนิดแสงขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียวที่ส่องสว่างภายในถ้ำ เนื่องจากจะไม่มีการติดตั้งหลอดไฟใด ๆ เพื่อรักษาธรรมชาติของถ้ำในยังคงความสมบูรณ์มากที่สุด เมื่อนั่งแพล่องไปตามลำน้ำเรื่อย ๆ จะพบว่าถ้ำนั้นกว้างและสูง ด้านบนมีหินงอกหินย้อยรูปร่างต่าง ๆ แสงไฟจากตะเกียงจะตกกระทบหินงอกหินย้อยด้านบนเพดานถ้ำ บางส่วนจะเปล่งปลั่งล้อแสงไฟเล่นราวจะหยาดหยด บางส่วนก็จะเกิดเงาสีทึบดูลึกลับ คนถ่อแพจะพาหยุดพัก ณ จุดต่าง ๆ ที่เป็นพื้นที่แห้งให้เดินชมบริเวณโดยรอบ ซึ่งจะมีภาพเขียนสีแดงสีดำของมนุษย์โบราณก่อนประวัติศาสตร์และวัตถุโบราณต่าง ๆ ซึ่งแสดงถึงความเก่าแก่ของถ้ำแห่งนี้ อาทิ ภาชนะดินเผา กระดูกมนุษย์โบราณ โลงศพไม้สักหรือโลงผีแมน ฯลฯ

ถ้ำในบางแห่งถึงแม้ว่าจะเปิดให้เที่ยวชมทุกวันตลอดทั้งปี แต่ก็มีช่วงเวลากำหนดที่จะเข้าออกถ้ำ ซึ่งควรจะเคารพทำตามกฎนั้นอย่างเคร่งครัด และไม่ว่าอย่างไรก่อนการท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติควรสอบถามหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดูแลพื้นที่ ถึงความพร้อมของสถานที่ก่อนไปทุกครั้ง เพื่อให้การเที่ยวในครั้งนั้นเป็นไปอย่างราบรื่นและน่าประทับใจอย่างที่สุด

 

ชวนแบกเป้ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์….ไปกับอุทยานแห่งชาติ ณ เมืองเลย

ในปัจจุบันธรรมชาติต่าง ๆ ของไทยถูกรุนรานจากความเจริญที่เข้ามาทั้งทางตรงและทางอ้อม ทำให้ธรรมชาติหลายแหล่งถูกรบกวนจนสูญเสียเสน่ห์อันเฉพาะตัวไปอย่างน่าเสียดาย แต่ก็มีธรรมชาติอีกไม่น้อยที่ได้รับการดูแลคุ้มครองทำให้ยังคงความอุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งกำเนิดแม่น้ำ เป็นบ้านของสัตว์ป่าน้อยใหญ่ และยังเปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวให้ผู้คนทั่วไปเรียนรู้ที่จะ “รักษ์” ธรรมชาติอันแสนสำคัญนี่ไว้ หากในวันหยุดยาวที่ยังไม่รู้จะไปไหน ลองรวมแก๊งเพื่อน ชวนกันจัดกระเป๋าเดินทาง ทิ้งความวุ่นวายของชีวิตประจำวันไว้ด้านหลัง แล้วมาเรียนรู้ธรรมชาติเหล่านี่กัน ณ  อุทยานแห่งชาติเมืองเลย

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง

อุทยานแห่งชาติภูกระดึง เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางระบบนิเวศทั้งป่าไม้ พันธุ์สัตว์และพันธุ์พืช ในทุกปีจะ มีช่วงเวลาเปิดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชม และศึกษาธรรมชาติซึ่งจะเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่มีเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะต้องเดินเท้าเป็นระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร จากบริเวณทางขึ้นจนถึงจุดพักแรมที่อยู่ด้านบนภู แต่นั่นกลับเป็นเสน่ห์อันชวนให้หลงใหล เพราะระหว่างทางขึ้นยอดภูจะได้เห็นถึงสภาพป่าและพันธุ์ไม้ที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ตลอดทาง พอไปถึงด้านบนภูก็ยังมีสถานที่เที่ยวชมธรรมชาติอีกหลากหลาย อาทิ น้ำตกเพ็ญพบใหม่ ซึ่งเป็นน้ำตกที่ค่อนข้างสูงโดยในช่วงฤดูหนาวจะมีใบเมเปิ้ลสีแดงร่วงหล่นลอยไปกับธารน้ำที่ไหลออกไปจากน้ำตก ฯลฯ และหากขึ้นภูไปในช่วงที่มีฝนดาวตก จะสามารถมองเห็นดาวตกได้ในตอนกลางคืน ในบริเวณจุดพักกางเต็นท์แบบนอนไปดูดาวไปกันเลยทีเดียว

อุทยานแห่งชาติภูเรือ

                อุทยานแห่งชาติภูเรือเป็นพื้นที่อนุรักษ์ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม โดยสามารถขับรถขึ้นไปด้านบนเพื่อชมความสวยงามได้ ภูเรือเป็นภูเขาที่สูง จะแต่มีพื้นที่ราบกว้างบนยอดภู เมื่อมองจากยอดภูด้านบนออกไปด้านนอกจะมองเห็นความเขียวชอุ่มของป่าไม้บนแนวเขา ที่ตั้งเรียงรายกันอย่างสลับซับซ้อนไกลออกไปสุดสายตา ตัดกับท้องฟ้าที่กระจ่างใสในย่ามกลางวัน หากแต่ในยามเย็นป่าไม้บนทิวเขาจะถูกแสงสีเหลืองส้มของพระอาทิตย์ตกดิน พาดผ่านไม่ต่างกับท้องฟ้าที่จะเปลี่ยนไปเจือด้วยสีเหลืองส้มของแสงสุดท้ายอันสวยงาม ด้านบนของภูเรือจะมีอากาศหนาวเย็นเกือบตลอดทั้งปีทำให้ด้านบนมีพันธุ์พืชและดอกไม้ที่แปลกตาจำนวนมาก นอกจากนี้แล้วบนภูเรือยังมีน้ำตก หน้าผา ถ้ำ ลาดหิน ฯลฯ ซึ่งสะท้อนถึงความอุดมสมบูรณ์ของภูเรือซึ่งรอให้ไปเรียนรู้กัน

ถึงแม้ประเทศไทยจะมีธรรมชาติที่หลากหลายและค่อนข้างสมบูรณ์ หากแต่ไม่ช่วยกันอนุรักษ์และมุ่งเน้นจะหาประโยชน์จากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว วันหนึ่งแหล่งธรรมชาติเหล่านี่จะหมดไปและยากจะฟื้นฟู ซึ่งแน่นอนจะส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงถึงผู้อยู่อาศัยอย่างที่นึกไม่ถึงอย่างแน่นอน หากยังไม่เริ่มที่จะดูแลรักษา “บ้านหลังนี้” ตั้งแต่วันนี้  

 

ชวนเพื่อนมาปั่นจักรยานรับลม แล้วมาชมวิถีชีวิตและธรรมชาติ ณ พระประแดง…

พระประแดงเป็นอำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของจังหวัดสมุทรปราการ ติดกับเขตราษฎร์บูรณะของกรุงเทพฯ ที่ความเจริญเข้ามาถึง แล้วแทรกซึมไปกับวิถีชีวิตและธรรมชาติของที่นี่ได้อย่างลงตัว แต่ธรรมชาติยังคงบริสุทธิ์ สามารถสูดลมหายใจลึก ๆ ได้เต็มปอด เพื่อบรรเทาความเหนื่อยล้าของร่างกายและจิตใจ ยิ่งหากชวนแก๊งเพื่อน คนรัก และครอบครัวมารวมตัวปั่นจักรยานรอบอำเภอพระประแดงด้วยกันแล้ว ความสุขที่ได้รับจะเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกับสถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้

วัดไพชยนต์พลเสพย์ ราชวรวิหาร

วัดไพชยนต์พลเสพย์ ราชวรวิหาร เป็นวัดที่คู่กับชาวพระประแดงมาอย่างช้านาน เมื่อปั่นมาถึงหน้าวัดจะพบซุ้มประตูด้านหน้าทางเข้าสีน้ำตาลแดง ลวดลายวิจิตรเป็นอันดับแรก บรรยากาศโดยรอบค่อนข้างเงียบสงบตลอดทางจนมาถึงภายในวัด ที่จะพบกับศาสนสถานสำคัญทางศาสนาต่าง ๆ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยศิลปะไทยผสมจีนคล้ายกับวัดโพธิ์ในฝั่งพระนคร เนื่องด้วยวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 2  จึงมีลักษณะทางศิลปะบางส่วนที่มีความคล้ายคลึงกัน ภายในพระอุโบสถของวัดจะมีพระบุษบกยอดปรางค์ ที่มีอายุเก่าแก่ยิ่งกว่าวัด รูปทรงสวยงามวิจิตรบรรจง สีทองเหลืองอร่าม ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปปางมารวิชัยอันสวยงาม หากคนที่ชื่นชอบความเงียบสงบเพื่อดื่มด่ำศิลปะหรือสถาปัตยกรรมสมัยต้นรัตโกสินทร์แล้วละก็ วัดแห่งนี่ก็เป็นอีกสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาด

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้ง

ตลาดน้ำบางน้ำผึ้งเป็นตลาดน้ำค่อนข้างใหญ่ ซึ่งรอบล้อมไปด้วยบ้านเรือนที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในพื้นที่ เมื่อปั่นมาถึงปากทางเข้าภายในตลาด จะพบร้านค้าบนบกมากมายที่สร้างเป็นเพิงไม้ขนาดเล็ก ตั้งเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ ส่วน  ใหญ่จะเป็นร้านค้าของชาวบ้านระแวกนั้น โดยข้าวขายที่ขายจะเป็นพวกผักผลไม้ งานหัตกรรมหรืองานฝีมือต่าง ๆ เสื้อผ้า กระเป๋า อาหารของกิน ฯลฯ บรรยากาศตลอดทางเดินที่มุ่งสู่บริเวณส่วนตลาดน้ำ จะอบอุ่นผ่อนคลายและร่มรื่นด้วยต้นไม้ขนาดต่าง ๆ รอบบริเวณ เดินไปเรื่อย ๆ จะเห็นควันขาว ๆ มาแต่ไกล ซึ่งมาจากหม้อ มาจากกระทะที่พ่อค้าแม่ค้าปรุงอาหารกันอย่างขะมักเขม้นอยู่ในเรือพายตลอดริมฝั่งคลอง ส่งกลิ่นหอมฉุยฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ ไม่ไกลกันมากนักจะพบลานที่นั่งพักขนาดย่อม ที่ปกคลุกด้วยร่มเงาของต้นไม้ มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียวชวนให้สดชื่น คล้ายจะเชิญชวนให้นั่งพักขาหรือนั่งพักกินอาหารที่ซื้อมา พลางฟังเพลงจากบนเวทีไม้ตรงกลางลาน ที่มักจะมีคนพลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นมาขับกล่อมบทเพลงต่าง ๆ ทั้งกรุงลูกทุ่ง ลูกกรุง ชวนให้เพลิดเพลินไม่น้อยเลยทีเดียว

การปั่นจักรยานเที่ยวนอกจากจะได้การออกกำลังกายเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว ในระหว่างการปั่นจักรยานเที่ยวยังได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในระหว่างทางมากขึ้น ซึ่งบางครั้งสิ่งเหล่านั้นให้ความสุขและความประทับใจที่มากกว่าจุดหมายปลายทางในการเดินทางเสียอีก

 

แบกเป้ตะลอนเที่ยว ณ สังขละบุรี สถานที่แห่งนี้ ไม่ใช่มีดีแค่เพียงสะพานมอญ

                สังขละบุรี หนึ่งในอำเภอยอดนิยมของนักท่องเที่ยวในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งมีพื้นที่ติดกับประเทศพม่า ทำให้ในพื้นที่สังขละบุรีมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกัน โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่คิดถึงขึ้นมาอันดับแรก เมื่อพูดถึงที่นี่ ก็คงหนีไม่พ้นสะพานมอญ สะพานไม้แห่งศรัทธาของชาวชุมชนในพื้นที่ นอกจากนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจซึ่งไม่ค่อยได้ยินชื่ออีกหลายแห่ง อาทิ

ตลาด ณ บริเวณด่านเจดีย์ 3 องค์

เมื่อเข้ามาในบริเวณด่านเจดีย์ 3 องค์ ซึ่งเป็นพื้นรอยต่อระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า จะพบว่าไม่ไกลจากบริเวณที่เจดีย์สีขาว 3 องค์ ตั้งอยู่จะมีตลาดซึ่งเต็มไปด้วยชาวไทยและชาวพม่าที่มาแลกเปลี่ยนซื้อขายสินค้าของตัวเองกันอย่างคึกคัก ตั้งแต่ทางเข้าตลาดซึ่งมีทั้งร้านที่มาตั้งขายแบบเพิงพักหรือจะหามของเดินเร่ขายก็มีให้เห็นไม่น้อย โดยข้าวของส่วนใหญ่ในตลาดที่ขายโดยชาวพม่า จะเป็นพวกเครื่องประดับที่ทำจากหยก หินชนิดต่าง ๆ และเงิน อาทิ กำไรหยก แหวนหยก หินประดับ สร้อยเงิน ฯลฯ หรือพวกทานาคาเครื่องประทินผิวยอดนิยมของสาวพม่า ที่มีทั้งในรูปแบบฝนเองจากแท่งไม้ทานาคา หรือแบบสำเร็จรูปบรรจุลงในตลับก็มีขายให้เห็นกันหลายร้าน เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จนถึงกำแพงกั้นเขตแดนไทยกับพม่า จะพบพ่อค้าแม่ค้าชาวพม่าขายพวกพันธุ์ไม้ พวกขนมของประเทศพม่า หรือพวกอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้านของชาวพม่าก็มีให้เห็นไม่น้อยเช่นเดียวกัน ฯลฯ นอกจากนี้ในส่วนร้านขายของชาวไทย ส่วนใหญ่มักจะเป็นร้านที่ขายเครื่องประดับและอุปกรณ์เครื่องใช้ ที่ผลิตในประเทศ เพื่อให้นักท่องเที่ยวและชาวพม่ามาลองเลือกซื้อกันอย่างคึกคัก

ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาล

ถ้ำแก้วสวรรค์บันดาลนั้นตั้งอยู่ในสำนักสงฆ์ โดยทางขึ้นไปภายในถ้ำจะต้องขึ้นบันไดไม้ซึ่งค่อนข้างสูงชัน สอง ฝั่งเต็มไปด้วยต้นไม้นานาชนิด เมื่อไปถึงหน้าทางเข้าของถ้ำแรก จะพบป้ายชื่อบอกว่าถ้ำส่วนนี้ชื่อว่าอะไร ซึ่งถ้ำแก้วสวรรค์บันดาลจะมีถ้ำย่อยอีกหลายแห่งมาก ทางเข้าในแต่ละแห่งก็จะมีความสูงชันแตกต่างกันไป โดยภายในถ้ำจะปรากฏหินงอกหินย้อยรูปทรงต่าง ๆ มากมาย และมีการเปิดไฟส่องสว่างภายในถ้ำ เมื่อแสงไฟตกกระทบ หินงอกหินย้อยเหล่านั้นก็จะสะท้อนแสงไฟระยิบระยับอย่างสวยงาม ในบางครั้งจะมีเด็ก ๆ ในพื้นที่มาทักทายชวนคุยและพาเที่ยวชมถ้ำพร้อมเล่าประวัติของถ้ำในสมัยก่อน หรือแนะนำว่าถ้ำไหนเป็นถ้ำไหนมีอะไรภายในบ้าง นอกจากนี้เส้นทางที่เข้าไปในถ้ำแก้วสวรรค์ บันดาล จะพบฝูงควายที่มีรูปทรงเขาแปลกหลายสิบตัว ที่ชาวบ้านให้หากินในสวนยางพาราที่ขึ้นเรียงรายอย่างเป็นระเบียบ พื้นดินด้านล่างเป็นหญ้าสีเขียวชอุ่มทำให้บรรยากาศโดยรอบดูร่มรื่นชวนผ่อนคลาย

สังขละบุรีนั้นยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกจำนวนมาก โดยมีอีกหลายที่ซึ่งพึ่งค้นพบใหม่ และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชม หลายแหล่งยังไม่มีเสียงชื่อในหมู่นักท่องเที่ยวมากนัก หากแต่มีความสวยงามไม่แพ้ที่อื่น ๆ ซึ่งรอให้ไปสัมผัสด้วยตาของตัวเองอยู่

 

สัมผัสวิถีชีวิตกรุงเทพฯ เมื่อครั้งอดีต…กับเรื่องเล่าจากลาดกระบัง

                ลาดกระบังเป็นเขตพื้นที่หนึ่งของกรุงเทพมหานคร ซึ่งหากใครได้ไปจะพบว่าบรรยากาศและธรรมชาติยังไม่ถูกความวุ่นวายของเมืองเข้าไปแทนที่มากนัก ยังคงรักษาไว้ซึ่งวิถีชีวิตความเป็นชุมชนดั้งเดิม และเอกลักษณ์ของลาดกระบังในสมัยก่อนไว้อย่างค่อนข้างชัดเจน ทั้งความเงียบสงบ ความเป็นธรรมชาติ วิถีชีวิตชาวบ้านที่ส่วนหนึ่งยังคงอาชีพเกษตรกรรมอยู่ ซึ่งหาไม่ได้แล้วในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน สิ่งเหล่านี้เป็นแรงสิ่งดูดผู้คนที่สนใจให้อยากลองไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ ในเขตลาดกระบัง อาทิ

ชุมชนหัวตะเข้

ชุมชนเก่าแก่ที่อยู่คู่กับลาดกระบังมาช้านาน อาคารบ้านเรือนแต่ละหลังภายในชุมชน ซึ่งอยู่ติดกับลำคลองสายใหญ่ จะสร้างด้วยไม้เกือบทั้งหมด ตั้งอยู่ชิดติดกันให้กลิ่นอายอบอุ่นใกล้ชิดของชุมชนในสมัยก่อน ภายในชุมชนนอกจากจะมีบ้านเรือนที่อยู่อาศัยแล้วยังมีโรงเรียนและตลาดที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ตลาดหัวตะเข้ ซึ่งนักท่องเที่ยวนิยมปั่นจักรยานหรือเดินชมบรรยากาศ ผ่านเส้นทางไม้ซึ่งเลาะไปตามริมคลองอันเงียบสงบ นาน ๆ ครั้ง จะมีชาวบ้านขนของสัญจรผ่านมา บางครั้งลมมักจะพัดเอากลิ่นและไอเย็นของน้ำผ่านมา ในขณะกำลังชมรอบตลาด ที่ให้กลิ่นอายคลาสสิคของตลาดเก่าซึ่ งมีทั้งร้านอาหารทั้งคาวหวาน ร้านตัดผม พื้นที่ส่วนจัดแสดงผลงานศิลปะ ร้านโชว์ห่วยโบราณ ซึ่งขายอุปกรณ์เครื่องเขียน อุปกรณ์ศิลปะ ร้านขายของเล่นโบราณ ร้านเย็บผ้า ฯลฯ เมื่อเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงสะพานไม้สไตล์ชุมชนเก่า จะมองเห็นลำคลองที่ตลอดสายเรียงรายด้วยบ้านเรือนทั้ง 2 ฝั่ง มองไกลออกไปอีกหน่อยก็จะพบกับกำแพงอาร์ตลวดลายกราฟิกเท่ ๆหลากหลายภาพ ซึ่งรอให้นักท่องเที่ยวไปถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก ชุมชนหัวตะเข้นั้นสามารถมาเยี่ยมชมได้ทุกวัน ส่วนหากอยากเที่ยวตลาดที่เปิดขายอย่างคึกคักให้มาทุกวันเสาร์-อาทิตย์ เวลา 10.00-16.00 น. ตลาดหัวตะเข้จะเปิดต้อนรับเหล่านักท่องเที่ยวอยู่

วิทยาลัยช่างศิลป ลาดกระบัง

วิทยาลัยช่างศิลป ลาดกระบัง สามารถเข้าเยี่ยมชมผลงานศิลปะภายในวิทยาลัยได้ ซึ่งต้องติดต่อขออนุญาณก่อน โดยเฉพาะหากมากันเป็นกลุ่มทั้งกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ฯลฯ ในระหว่างการเข้าชมจะมีวิทยากรมานำบรรยาย เล่าถึงประวัติความเป็นมาของวิทยาลัยช่างศิลปฯ พาชมประติมากรรมรูปแบบต่าง ๆ อันมีเอกลักษณ์ ที่ตั้งอยู่โดยรอบวิทยาลัย พร้อมบรรยายถึงประวัติและความเป็นมาที่น่าสนใจของผลงานแต่ละชิ้น นอกจากนี้วิทยากรจะพาเข้าชมผลงานทั้งศิลปะไทย ประเพณี และศิลปะร่วมสมัยของวิทยาลัย นักศึกษา ศิลปินท่านต่าง ๆ ภายในอาคารเรียน อาทิ ผลงานภาพลายรดน้ำ ซึ่งเป็นผลงานของนักศึกษา ภาพจิตรกรรม ภาพวาด ประติมากรรมหลากหลายรูปแบบ และยังมีมุมจัดแสดงผลงานอื่น ๆ ที่ผู้เยี่ยมชมนั้นสามารถถ่ายรูปกันได้อย่างอาร์ต ๆ อีกด้วย ฯลฯ

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าสนใจเหล่านี้แล้ว ลาดกระบังยังมีแหล่งเรียนรู้เชิงวิถีชีวิต อาทิ การเยี่ยมชมกลุ่มเกษตรกร ที่จะพาชมสวนและบรรยากาศวิธีการทำเกษตรกรรมแบบผสมผสาน นอกจากนี้ยังมีสินค้าที่ได้จากทางการเกษตรให้เลือกซื้อเลือกชิมกันอีกด้วย

 

หากเที่ยวกรุงฯ ตอนมีแสงแดดรู้สึกร้อน..ลองเที่ยวตอนมีแสงนีออนดูมั้ย

ด้วยว่าประเทศไทยนั้นเป็นประเทศในเขตร้อน จึงทำให้หลาย ๆ ครั้งการจะออกไปเที่ยวนอกบ้านสักครั้ง ต้องพกร่ม พกน้ำ และอุปกรณ์กันแดดกันร้อนอีกหลายชิ้นเยอะแยะไปหมด หลายคนแต่งตัวพร้อมแล้ว แต่พอก้าวเท้าออกจากบ้านเจอแสงแดดอันอบอุ่นถึงขีดสุด ก็เลือกที่จะเปลี่ยนใจเดินกลับเข้าบ้านทันที เมื่อเห็นว่าการนอนเปิดพุงให้พัดลมเป่า น่าจะดูผ่อนคลายเสียมากกว่า ในเมื่อไม่อยากออกไปเจอแสงแดดอันแรงกล้าในยามกลางวัน ทำไมไม่ลองหันมาเที่ยวในตอนเย็นดูบ้างล่ะ วันนี้จะลองพามาดูสถานที่เที่ยวยามเย็นที่น่าสนใจกันสัก 1- 2 แห่ง ตามมาดูกันเลย

วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว)

วัดพระแก้วจะเปิดให้เข้าภายในช่วงเวลากลางวันเท่านั้น พอหมดเวลา ประตูทางเข้าจะปิดลงพร้อมกับแสงสว่างของพระอาทิตย์ที่ค่อย ๆ หายไป ฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีคราม หลายคนเริ่มเดินทางกลับ หากแต่ลองเดินช้า ๆ รอบวัดพระแก้วดูสักพัก รับลมพัดเย็น ๆที่ มาพร้อมกับแสงสว่างจากหลอดไฟริมถนนรอบวัดพระแก้ว ที่เปิดสว่างขึ้นทีละดวง จะเห็นยอดเจดีย์ ยอดหลังคาวัด และแนวกำแพงหลายเป็นสีเหลืองทองจากแสงไฟที่สาดส่องภายในวัด คล้ายกับวัดเรืองแสงได้เอง พอหันกลับมามองรอบตัวอีกที ทางเท้าด้านหน้าริมกำแพง ท้องถนน อาคารตึกแถวก็เต็มไปด้วยแสงจากหลอดไฟสีเหลืองเฉกต่าง ๆ สว่างไสว ยิ่งในช่วงงานเทศกาลหรืองานเฉลิมฉลองโอกาสพิเศษแสงจากหลอดไฟ จะส่องสว่างไปทั่วบริเวณสุดลูกหูลูกตา ให้บรรยากาศอันสวยงามแปลกตา ที่ต้องลองเห็นด้วยตาตัวเองสักครั้ง

สะพานพุทธ

สะพานพุทธฯ สะพานเหล็กสีเขียวอันมีเอกลักษณ์ ในช่วงเย็นหลายคนปั่นจักรยานมากับแก๊งเพื่อนฝูง หรือเดินจูงมือเดินข้ามสะพานกับคู่รักเพื่อรับลมชมวิวบนสะพานที่เกิดขึ้นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่กลับสวยงามจับตา ท้องฟ้าสีฟ้าอ่อนเจือส้ม พระอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงข้างพระปรางค์วัดอรุณฯ เห็นเพียงโครงพระปรางค์ โครงเรือที่แล่นอยู่บนน้ำสีทึบ ผิวแม่น้ำเจ้าพระยาสะท้อนแสงสีส้มอมเหลืองของแสงสุดท้ายของวัน หากอดใจรออีกสักพักจะเห็นเรือ อาคารบ้านเรือน ตึกสูง และวัดอรุณฯ กลับยังคงสว่างไสวเรืองรองด้วยแสงไฟนีออน ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด แสงไฟที่สาดกระทบกับองค์พระปรางค์วัดอรุณฯ สีเหลืองทอง สะท้อนตกลงสู่ผิวแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้ ๆ รวมถึงแสงไฟจากเรือขนาดต่าง ๆ ที่ล่องตามแม่น้ำ ทำให้ผิวแม่น้ำดูเงางามคล้ายกับกระจก แม้แต่ตัวสะพานเองก็สว่างไสวด้วยแสงสีส้มจากหลอดไฟด้านบน เกิดเป็นภาพอันมีเสน่ห์ดึงดูดใจ

กรุงเทพมหานครเมืองที่ไม่เคยหลับใหล แม้แต่ในยามค่ำคืนก็ยังคงสว่างไสวด้วยแสงไฟจากการดำเนินชีวิต ทำให้เกิดภาพอันสวยงามอันแตกต่างจากตอนกลางวันอีกแบบหนึ่ง หลายแห่งกลายเป็นสถานที่ถ่ายรูปหรือเดินเล่นรับลมเย็น ๆ ที่ชื่นชอบของนักท่องเที่ยวที่หลงแสงบางกอกกันไม่น้อยเลยทีเดียว

 

หนึ่งวันกับการเดินเที่ยวสบายๆในย่าน 4 แยกคอกวัว…ถิ่นเก่าแห่งโรงวัวนม

ในย่าน 4 แยกคอกวัว นอกจากถนนข้าวสาร ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติแล้ว หลายคนคงอยากรู้ว่ายังมีสถานที่ท่องเที่ยวอะไรอีกบ้างในย่านนี้ ที่สามารถเดินเที่ยวกันได้ไม่ต้องมานั่งรอรถเมล์ให้เสียเวลาเที่ยว วันนี้ลองมาทำความรู้จักกับสถานที่ท่องเที่ยว ที่สามารถใส่รองเท้าแตะเดินเที่ยวสบาย ๆ จากย่าน 4 แยกคอกวัวกัน

พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่

พิพิธภัณฑ์สุนทรภู่ตั้งอยู่ภายในกุฏิที่สุนทรภู่เคยจำพรรษอยู่ เมื่อครั้งบวชเป็นพระภิกษุ ณ วัดเทพธิดารามวรวิหาร โดยภายในกุฏิมีการแบ่งเป็น 3 ห้อง ซึ่งจะจัดแสดงเรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับสุนทรภู่ อาทิ ประวัติความเป็นมาและเส้นทางชีวิต ข้าวของเครื่องใช้ขณะที่สุนทรภู่บวชเป็นพระภิกษุ บอร์ดประลองความรู้เกี่ยวกับกาพย์กลอน ผลงานต่าง ๆ รวมทั้งลายอักษรที่เขียนด้วยสุนทรภู่ของจริง นอกจากนี้ยังมีห้องที่ภายในมีเทคโนโลยี เออาร์ เพื่อให้ผู้เยี่ยมชมสามารถถ่ายภาพเสมือนจริงร่วมกับสุนทรภู่ได้ นอกจากนี้ยังมีจุดบริการสำหรับเช่าชุดไทย สำหรับผู้สนใจไว้สวมถ่ายภาพอีกด้วย

วัดราชนัดดารามวรวิหาร

รัชกาลที่ 3 ทรงโปรดให้สร้างขึ้น โดยสิ่งที่สะดุดตาเมื่อเดินเข้าภายในวัดนั่นคือ โลหะปราสาท ซึ่งเป็นโลหะปราสาทหนึ่งในสามแห่งในโลก และยังเป็นเพียงโลหะปราสาทแห่งเดียวที่ยังสมบูรณ์อยู่ ภายในโลหะปราสาทได้มีการจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการก่อสร้าง ภาพของโลหะปราสาทในแต่ละยุคแต่ละสมัย และประวัติโลหะปราสาททั้งสามแห่ง ส่วนตรงกลางของโลหะปราสาทมีบันไดเพื่อขึ้นไปชมวิวพร้อมรับลมเย็น ๆ ด้านบนซึ่งจะเห็นวิวโดยรอบเกาะรัตนโกสินทร์อีกด้วย

หอสมุดกรุงเทพ    

ภายในหอสมุดแห่งนี้จะมีทั้งหมด 4 ชั้น โดยแบ่งเป็นหลากหลายส่วน อาทิ ส่วนของมุมอ่านหนังสือโดยจะมีหนังสือประเภทต่าง ๆ มากมายทั้งนิยาย การท่องเที่ยว หนังสือสำหรับเด็ก หนังสือต่างประเทศ ฯลฯ ส่วนพื้นที่สำหรับเด็กให้ได้อ่านและเล่น ส่วนของการจัดแสดงนิทรรศการ ซึ่งจะมีส่วนของนิทรรศการหลักและนิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นเพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าชม ส่วนของร้านอาหาร ขนม เครื่องดื่ม ในแต่ละอาทิตย์หอสมุดกรุงเทพยังมีการจัดบรรยายให้ความรู้ซึ่งหากใครสนใจสามารถลงทะเบียนได้ที่หน้าห้องจัดบรรยายเพื่อรับฟัง นอกจากนี้ภายในหอสมุดยังมี Wi-fi และคอมพิวเตอร์ให้กับผู้ที่สมัครเป็นสมาชิกอีกด้วย การเข้าใช้บริการหอสมุดกรุงเทพไม่เสียคาใช้จ่ายใด ๆ เพียงใช้บัตรประจำตัวประชาชนก็สามารถเข้าไปได้ โดยเปิดทุกวันอังคาร – เสาร์ เวลา 08.00 – 21.00 น. และ วันอาทิตย์ เวลา 09.00 – 20.00 น.

บริเวณแถวแยกคอกวัวยังสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่งที่สามารถเดินเที่ยวได้ไม่ไกลจากกันมากนักซึ่งจะให้บรรยากาศในการเที่ยวอีกแบบ เห็นถึงรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่อยู่ระหว่างเดินทางไปยังสถานที่ท่องเที่ยวถัดไป ซึ่งจะไม่ทันได้สังเกตแน่นอน หากไม่ได้เดินผ่านเพื่อสัมผัสมันเอง และนี่ล่ะคือเสน่ห์อย่างหนึ่งของการเดินเที่ยว